ประชาสัมพันธ์

" หัวครอบยาสีฟัน "

หัวครอบยาสีฟัน "  
















 

วันแม่ 12 สิงหา ลูกพาแม่นั่ง BTSฟรี เที่ยวทั่วกรุง


 


วันแม่ 12 สิงหา ลูกพาแม่นั่งรถไฟฟ้าบีทีเอสฟรี
ดร.อาณัติ อาภาภิรม กรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส แจ้งว่า เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันพฤหัสบดี ที่ 12 สิงหาคม 2553 ซึ่ง เป็น วันแม่แห่งชาติ รถไฟฟ้าบีทีเอสจะจัดกิจกรรมให้ลูกได้แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อแม่ ด้วยการเอาใจใส่ดูแลซึ่งกันและกัน และเป็นการสนับสนุนสถาบันครอบครัวให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
โดยลูกสามารถพาแม่โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสฟรี ตลอดสายทุกเส้นทาง ตั้งแต่เวลา 06.00 น.� 24.00 น. ซึ่งแม่และลูกจะต้องขึ้น/ลงสถานีเดียวกันเท่านั้น ติดต่อขอรับคูปองเดินทางฟรีได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรโดยสารทั้ง 25 สถานี นอกจากนี้ บริษัทฯได้ยกเว้นค่าโดยสารสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 ซม.

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ที่อยู่ในเส้นทางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ลูกสามารถพาแม่เดินทางไปนั้น
 อาทิ
-พิพิธภัณฑ์บ้าน ม.ร.ว.คึก ฤทธิ์ ปราโมทย์ ลงสถานีช่องนนทรี
-ท่องเที่ยวทางเรือของ เรือด่วนเจ้าพระยา ชมทิวทัศน์อันสวยงามของ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ลงที่สถานีสะพานตากสิน
-พาแม่ทำบุญที่วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร หรือ ชมโลกใต้น้ำที่สยามโอเชี่ยนเวิร์ล ลงสถานีสยาม
-ชมพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาด ลงสถานีพญาไท
-พิพิธภัณฑ์บ้านจิมทอมป์สัน และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ลงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ
-เที่ยวท้องฟ้าจำลอง ลงสถานีเอกมัย

ขอบคุณข้อมูลจาก bts.co.th
เรียบเรียงข้อมูลโดย Mthai News

รับตรง คณะเทคโนโลยีการเกษตร ลาดกระบัง 2554


รายละเอียด
สมัคร 20 สิงหา - 8 ตุลาคม  2553
ไม่ใช้ GAT-PAT  ไม่ค้องสอบ
เกรดขั้นต่ำ  2.5 และสอบสัมภาษณ์
รับจำนวน 385 คน

ที่มา  unigang.com

.................................................................
ปล นิเทศศาสตร์เกษตร ด้วย  คณะนี้ เรียนเหมือนนิเทศสาสตร์ นะครับ   ส่วนใหญ่จะทำงานเบื้องหลัง การผลิตกันเยอะ  แต่ก็มีนักอ่านข่าวชื่อดังที่จบจากสาขานี้ก็เช่น คุณ กิตติ  สิงหาปัต

ล้างไตแบบธรรมชาติ

Subject : แนะนำสูตรล้างไต แบบธรรมชาติ

วันนี้มีคนแนะนำสูตรล้างไต แบบธรรมชาติ เลยขอแนะนำต่อนะค่ะ
ไตเป็นอวัยวะที่กรองของเสียให้ออกจากร่างกาย หากคนไหนทานเค็มมากเกินไป
หรือมีสารพิษสะสมอยู่ในไต เพราะทุกวันนี้ทานอาหารนอกบ้าน หรือพวกขนมขบเคี้ยว
ก็มีสารพิษอยู่เยอะ มาลองใช้สูตรนี้กันค่ะ วัตถุดิบหาง่ายดีด้วยค่ะ


ล้างผักชีให้สะอาด (ในรูปไม่มีรากดังนั้นใช้แค่ใบและลำต้นค่ะ) Parsley, Malli Leaves, Kothimbir, Dhaniya
นำมาหั่นเป็นท่อนเล็กๆ ใส่ในหม้อที่มีน้ำสะอาด ต้มประมาณ 10 นาที
ปล่อยจนเย็นแล้วค่อยกรอกใส่ขวดแช่ในตู้เย็น
รินดื่มวันละ 1 แก้ว ซึ่งจะช่วยล้างสารพิษที่อยู่ในไต แล้วคุณจะรู้สึกถึงความแตกต่าง ลองทำกันดูนะค่ะ
ยังไง ลองทำดูแล้วได้ผล ช่วยบอกต่อเพื่อนๆด้วยนะค่ะ


 
 
 
 
สิ่งที่ควรรู้
 
 















Credit : FWM

มารู้จักปุ่ม F บนคีย์บอร์ดกันดีกว่า

หากพูดถึงปุ่มตระกูล F (Function) บนแป้นคีย์บอร์ด น่าจะเป็นปุ่มที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ต้องพบเห็นบ่อยๆ และคุ้นเคยกันดี เนื่องจากมันถูกวางเรียงอยู่แถวบนสุดของคีย์บอร์ด แถมยังมีจำนวนมากตั้งแต่ F1 ไปจนถึง F12

แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ปุ่มตระกูล F เหล่านี้มีประโยชน์อย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่าเราลองมาทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของปุ่มลัดเหล่านี้กันดี กว่า เพื่อว่าคราวต่อไปคุณจะได้ใช้ประโยชน์กับมันได้มากขึ้น
F1 - นี่คือปุ่มทางลัดเข้าสู่คู่มือช่วยเหลือ (Help) ของโปรแกรมต่างๆ และถ้าคุณกดปุ่ม Windows Key ตามด้วย F1 มันก็คือปุ่ม Help ของโปรแกรมไมโครซอฟท์นั่นเอง

F2 - ถ้าคุณกดปุ่มนี้ขณะอยู่บนจอเดสก์ท็อป มันคือการไฮไลต์โฟลเดอร์หรือไฟล์เพื่อเตรียมจะเปลี่ยนชื่อ และถ้าอยู่บนโปรแกรม Microsoft Word เมื่อคุณกดปุ่ม Ctrl + F2 มันคือการ Preview เอกสารก่อนพิมพ์

F3 - ปุ่มนี้ใช้เป็นทางลัดเข้าสู่ระบบ Search ของโปรแกรมต่างๆ

F4 - กดปุ่ม Alt + F4 คือการออกจากโปรแกรมที่กำลังใช้งาน

F5 - เมื่อกำลังท่องเว็บไซต์ กดปุ่มนี้คือการทำ Refresh หรือ Reload หน้าเว็บไซต์อีกครั้ง

F6 - คือปุ่มที่ใช้เลื่อน Cursor ไปยัง Address Bar ขณะใช้งานเว็บเบราว์เซอร์

F7 - กดปุ่มนี้เมื่ออยู่ใน Microsoft Word คือการเรียกเช็กระบบตรวจสอบคำผิด

F8 - ปุ่มลัดใช้เรียก Start Menu เวลาอยู่ใน Safe Mode

F9 - ปุ่มลัดเข้าสู่ระบบวัดระยะของโปรแกรม Quark 5.0

F10 - กดปุ่ม Shift + F10 คือการทำงานเสมือนคุณกำลังคลิกขวาที่เมาส์

F11 - กดปุ่มนี้เพื่อการเรียกดูเบราว์เซอร์แบบ Full Screen

F12 - ใช้เป็นคำสั่ง Save as เมื่ออยู่ในโปรแกรม Microsoft Word
ที่มา : http://marsmag.net

5 เรื่องเกี่ยวกับเกาหลีที่คุณอาจไม่รู้



"5 เรื่องเกี่ยวกับเกาหลีที่คุณอาจไม่รู้"

วัฒนธรรม บันเทิงจากแดนเกาหลีในบ้านเรายังไม่สิ้นมนต์ขลัง หนัง, เพลง หรือละครจากแดนกิมจิอาจจะฮิตระเบิดเถิดเทิง แต่มีอะไรอีกหลายอย่างที่แฟนๆ อาจจะมองข้าม

1. ชื่อประเทศ Korea มาจากชื่อโสม

โสม เกาหลีได้ชื่อว่าคุณภาพดีที่สุด มีชื่อเรียกเฉพาะว่า โสมกอริโย (Goryeoginseng) ตั้งตามชื่อราชวงศ์กอริโย (ค.ศ.918-1392) ก่อนจะกลายมาเป็นชื่อประเทศเกาหลี

มีชื่อเต็มยศว่า Republic of Korea หรือ สาธารณรัฐเกาหลีใต้

2. ความหมายของธงชาติเกาหลี

วง กลมที่อยู่กลางธงชาติเรียกว่า "หยิน" (สีน้ำเงิน) - "หยาง" (สีแดง) เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังของจักรวาล สื่อถึงความแตกต่างที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

กลุ่มเส้นขีดที่มุม ทั้งสี่ของธงชาติมีความหมายแตกต่างกัน กลุ่มเส้นขีดที่มุมล่างขวาแทนโลก มุมซ้ายบนแทนสวรรค์ มุมขวาแทนน้ำ และมุมล่างซ้ายแทนไฟ สื่อถึงความแตกต่างและความสมดุล

ส่วนพื้นขาวนั้นแสดงถึงความบริสุทธิ์และจิตใจที่รักสงบของชาวเกาหลี

3. สัญลักษณ์กิมจิแท้จากเกาหลี

กิมจิเป็นอาหารเกาหลีที่เรารู้จักกันดี และในบ้านเราสามารถหาซื้อกิมจิสำเร็จรูปได้ตามซูเปอร์มาร์เก็ต

ถ้า เป็นกิมจิแท้จากเกาหลี ต้องสังเกตตัวสัญลักษณ์นี้ สร้างขึ้นโดยองค์กรการค้าเกษตรกรรมและการประมงประเทศเกาหลี เมื่อเดือนมิ.ย.2543 จะพบสัญลักษณ์นี้เฉพาะกิมจิที่ผลิตและใช้วัตถุดิบในประเทศเกาหลีเท่านั้น

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมกิมจิจากเกาหลีและให้ผู้บริโภคแยกได้ชัดเจนระหว่างกิมจิเกาหลีและกิมจิญี่ปุ่น

4. เกาหลีประเทศแรกที่มีการพิมพ์

ชาว เกาหลีประดิษฐ์แม่พิมพ์ไม้ได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ตัวพิมพ์โลหะชิ้นแรกของโลกก็ประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวเกาหลี และในศตวรรษที่ 13 ในสมัยราชวงศ์กอริโย ได้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับเกาหลีขึ้นด้วยแม่พิมพ์ไม้

แม่พิมพ์ไม้นี้เป็นแม่พิมพ์ไม้พระคัมภีร์เก่าแก่ที่สุดในโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1995 หรือ พ.ศ.2538

5.ภาษาจีนอ่านยาก ทำให้เกิดภาษาเกาหลี

ประเทศ เกาหลีประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 5 โดยพระเจ้าเซจงมหาราช แต่อ่านเขียนค่อนข้างยาก ทำให้ชาวเกาหลีอ่านหรือเขียนหนังสือได้น้อย พระเจ้าเซจงมหาราชจึงประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใหม่ มีพยัญชนะ 14 ตัว และสระ 10 ตัว ประกอบขึ้นเป็นคำที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย

ตัวอักษรชุดนี้ทำให้ชาวเกาหลีรู้หนังสือมากขึ้น และได้ชื่อว่าเป็นชนชาติหนึ่งที่รักการอ่านยิ่งในปัจจุบัน
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เผยวิธีทำกายภาพมือง่ายๆ ก่อน "นิ้วล็อค" ถาวร!

        ปฏิเสธไม่ได้ว่า มือของคนเรา เป็นอวัยวะสำคัญที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของ หรือใช้งานในกิจอื่นๆ ทั้งเด็กที่จะต้องใช้มือเขียนหนังสือ พ่อแม่คนทำงานที่ต้องใช้มือกับแป้นพิมพ์ เขียนงานเอกสาร หรือใช้ในงานด้านต่างๆ ตลอดจนแม่บ้านที่ต้องใช้มือในการหิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า
       
        เมื่อมือ เป็นอาวุธสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ทำงาน บางครั้งอาจถูกใช้งานอย่างหนัก โดยไม่ได้พัก หากเป็นเช่นนี้ ซ้ำๆ บ่อยๆ ย่อมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บปวดตามมา สามารถนำพาไปสู่ภาวะนิ้วล็อค หรือ Trigger Finger ได้ในที่สุด
       
       ในวันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเกร็ดความรู้จากงาน "Banana Family in Love" จัดโดย Banana Family Park ภายใต้โครงการ Workshop กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งได้มีการพูดคุยถึงภาวะนิ้วล็อค และวิธีการดูแลมือไว้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาฝากให้กับทุกครอบครัวไว้ปรับใช้ก่อนนิ้วล็อคถาวรกัน
       
       หากพูดถึง ภาวะนิ้วล็อค ทีมงานได้รับความรู้ว่า เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีการใช้มือทำงานอย่างหนัก ซึ่งจะมักมีอาการเจ็บร่วมกับมีเสียงดังกึก ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว แต่เมื่อมีการอักเสบเส้นเอ็นจะบวมและหนาตัว ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา
       
       โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ เป็นต้น
       
       นอกจากนี้ลักษณะการใช้งานของมือในแต่ละกิจกรรมจะใช้งานแต่ละนิ้วไม่ เหมือนกัน ทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น พ่อแม่ที่เป็นครู หรือนักบริหาร มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ ขณะที่แม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
       
       สำหรับอาการ ในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัด หรือกำได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้
       
        *** กายภาพมือง่ายๆ ก่อน "นิ้วล็อค" ถาวร!

        1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
       
        2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต
       
        3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต
       
        *** ระวังตัวง่ายๆ ลดเสี่ยง "นิ้วล็อค"
       
       1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ
       
       2. ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้ งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ
       
       3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง
       
       4. ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น
       
       5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง

�น้ำต้มเดือด� หลายครั้งอันตราย


     หลายคนเชื่อว่าความร้อน สามารถเอาชนะเชื้อโรคร้ายต่างๆได้  ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือน้ำดื่ม
หากปรุงสุกด้วยความร้อนสูง หรือต้มจนเดือด ก่อนจะนำมารับประทาน ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างเด็ดขาด
 ซึ่งนั้นก็ถือว่าไม่ใช่ความเชื่อที่ผิด แต่อาจไม่ทั้งหมด เมื่อสิ่งที่เราให้ความร้อนกับมันอย่าง น้ำในกาต้มน้ำ 
เมื่อทำซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง โดยไม่เปลี่ยนน้ำในกาน้ำที่คิดว่าสะอาด ปลอดภัย กลับให้โทษแก่ร่างกายหากดื่มเข้าไป�
เพราะ �น้ำ� ที่เราใช้ดื่มกินในปัจจุบัน มักผสมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ หลายชนิด หากมีการต้มจนเดือดแล้ว
เดือดอีกหลาย ๆ ครั้ง จะทำให้น้ำระเหยกลายเป็นไอตามทฤษฎีปกติอยู่แล้ว แต่ก็จะไม่ระเหยทั้งหมด ซึ่ง
ในน้ำส่วนที่เหลืออยู่นั้น ก็จะมีปริมาณแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ ที่ปะปนมาเหลืออยู่ในจำนวนที่เข้มข้นมากขึ้น
และที่สำคัญจะหลงเหลืออยู่เกินมาตรฐานที่จะนำมาบริโภคได้
โดยปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นขณะน้ำเดือดนาน ๆ นั้น ก็จะส่งผลให้ไอออนของ ซิลเวอร์ไนเตรท ที่มีอยู่ในน้ำ
จะเปลี่ยนเป็น ซิลเวอร์ไนไตรท์ ซึ่งเป็นสารที่ให้โทษแก่ร่างกาย ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อเมือกและ
ทางเดินหายใจ อาจทำให้ปอดอาจถูกทำลายได้ รวมไปถึงดวงตา ประสาทและเลือดนอกจากนี้ยังรวมถึง
แร่ธาตุอื่นๆ ก็จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเพราะการระเหยของน้ำ ซึ่งอาจมากจนเกินขีดจำกัดความสามารถของร่างกาย
 ในการกำจัด ขับถ่ายออกมาเป็นของเสียได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้ระบุไว้ว่า ผู้ที่ชอบดื่มกาแฟ
และผู้ที่ใช้กระติกน้ำร้อน พึงระวัง เพราะหากน้ำที่คุณใช้ต้มนั้นเป็นน้ำธรรมชาติ เช่นน้ำบาดาล น้ำบ่อ
หรือน้ำประปา ที่เป็นกรดในหม้อโลหะแล้วนั้น หากต้มหลายๆ ครั้งก็จะยิ่งทำให้น้ำนั้นงวดและเกิดเป็นก้อนแข็งๆ
ยึดเกาะตามผิวของกาหรือกระติกน้ำร้อน หรือที่เรียกว่า "ตะกรันธาตุ " ตกปนลงมาในน้ำมากขึ้นรวมถึง
 �น้ำแร่� แบบที่เศรษฐีชอบดื่มกันเพราะคิดว่าสะอาดก็ต้องระวัง เพราะต้มนานๆ ไปก็จะได้ตะกรันแถมเช่นกัน�
ดังนั้นจึงไม่ควรดื่มน้ำที่ต้มเดือดแล้วหลาย ๆ ครั้ง ทางที่ดี ควรต้มน้ำแต่ละครั้งให้พอดีกับที่ใช่ดื่ม
และจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำทุกครั้งหากต้องต้มน้ำให้เดือดใหม่ สำหรับกาต้มน้ำที่ใช้ชงกาแฟก็ไม่ควรตั้งกา
 ต้มน้ำร้อนไว้ให้เดือดตลอดเวลาเพราะอาจจะทำให้โลหะกร่อนลงมาปนได้ หมั่นเปิดฝากาดู หากเห็นมี
คราบตะกรันติด ควรล่างกาในทันที�
เพียงเท่านี้�ความร้อนก็จะไม่สามารถนำพาสิ่งแปลกปลอมที่เป็นโทษต่อร่างกาย มาทำร้ายสุขภาพเรา
ได้อย่างแน่นอน�
ที่มา  สสส.

สุดซึ้ง! ความรักของแม่ตาบอด เลี้ยงลูกจนโต














วันที่ 12 สิงหาคม หรือ วันแม่แห่งชาติ เวียนมาบรรจบเมื่อไหร่ ตามรายการต่างๆ ก็มักจะหยิบยกเอาเรื่องราวความผูกพันของแม่กับลูกมานำเสนอ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของ "แม่" ซึ่งหนึ่งในก็คือรายการ "ตีสิบ" ที่ได้พาลูกน้อย 2 คน จาก 2 ครอบครัว มาร้องเพลงขับกล่อมให้แม่ได้อิ่มใจ เพื่อทดแทนค่าน้ำนมที่แม่มอบให้ ในช่วงดันดารา ตอน ร้องเพลงให้แม่ (Song for Mom)

โดยคนแรกคือ น้องน้ำฝน แสงทอง สาวน้อยวัย 14 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีพ่อและแม่เป็นคนพิการทางสายตาด้วยกันทั้งคู่ โดยได้นำเพลง "ค่าน้ำนม" มาร้องให้แม่ผู้พิการทางสายตา ซึ่งถึงแม้แม่จะไม่สามารถมีโอกาสมองเห็นหน้าลูกสาวคนนี้ได้ แต่แม่ก็ปลื้มใจทุกครั้งที่สัมผัสและรับรู้ว่าลูกน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้นมา สามารถเอาตัวรอดและดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบกลมๆ นี้ได้อย่างมีความสุข

น้องน้ำฝน หรือ เด็กหญิงน้ำฝน แสงทอง กำเนิดมาจากความรักของพ่อและแม่ผู้พิการทางสายตา พ่อเฉลิม แสงทอง และ แม่สวัสดิ์ สัจจะมณี ซึ่งพ่อเฉลิมพิการมาตั้งแต่แบเบาะ ส่วนแม่สวัสดิ์เริ่มพิการตอน 4 ขวบ จากอาการตาแดง ปวดตาและไปรักษาไม่ทัน ทำให้สูญเสียการมองเห็นตั้งแต่นั้นมา ทั้งนี้ หลังจากทั้งคู่อยู่กินกันได้ไม่นาน ก็มีโซ่คล้องใจเป็นน้องน้ำฝน โดยน้องน้ำฝนเป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าชัง และที่มีร่างกายสมบูรณ์ทุกประการ และพอมีอีกชีวิตหนึ่งเพิ่มขึ้น ทั้งสองสามีภรรยาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงดูลูกน้อยให้ดีที่สุด โดยเฉพาะแม่สวัสดิ์ ที่แม้จะมองไม่เห็นว่าหน้าตาลูกเป็นอย่างไร แต่เธอก็มอบกายและใจ ทุ่มเททุกๆ สิ่งให้กับลูกคนนี้เสมอ โดยเธอจะทุกอย่างต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าคนปกติ เวลาจะป้อนข้าวป้อนน้ำก็ต้องคลำหาว่าปากของลูกอยู่ตรงไหน แม้ยามลูกป่วยไข้ จะมีก็สองมือแม่เท่านั้นที่จะสัมผัส และรับรู้ได้แทนการมองเห็น

ทุกๆ วัน รายได้ทางเดียวที่จะนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัวจะมาจากการออกไปร้องเพลง ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน บางวันก็ไม่ได้เงินกลับมาเลย แม่ก็ยอมเป็นฝ่ายอดเสียเองเพื่อให้ลูกได้อิ่มท้อง ในวันหยุดเรียนน้องน้ำฝนก็จะไปร้องเพลงกับพ่อแม่ โดยไม่เคยแคร์สายตาใครที่มองว่ามีพ่อแม่เป็นคนพิการ เพราะน้ำฝนรู้ดีว่า ความรักที่แม่มีต่อลูกทำให้แม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องอดทนต่อความลำบากในการเลี้ยงดูลูกมากกว่าคนปกติ น้ำฝนจึงเป็นแก้วตาดวงใจของแม่ แม่ที่พร้อมจะทำทุกอย่างได้เพื่อลูก วันนี้ลูกคนนี้จึงอยากกจะบอกรักแม่ ผ่านทางคำพูด และบทเพลงที่เธอตั้งใจจะมอบให้แม่ผู้มีพระคุณของเธอ


" หนู ไม่เคยอายที่มีแม่ที่ตามองไม่เห็น หนูภูมิใจในตัวแม่มาตลอด แม่ร้องเพลงหาเงินเลี้ยงดูหนูตั้งแต่เล็กจนโต หนูจะขอเป็นดวงใจและดวงตาพาแม่ไปตลอดชีวิตของหนู หนูอยากบอกแม่ว่า...หนูรักแม่ค่ะ" นี่คือถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากใจของลูกน้อยคนนี้

ขณะ ที่ แม่สวัสดิ์ กล่าวว่า ตอนเด็กๆ ที่ลูกยังช่วยตัวเองไม่ได้ เวลาจะป้อนข้าวก็ต้องใช้มือสัมผัส ดูว่าปากเขาอยู่ไหน แล้วค่อยเอาช้อนตักข้าวป้อนใส่ปาก เวลาอาบน้ำก็ยากเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยทำลูกหล่นสักครั้งเดียว โดยจะใช้แขนประคองลูกไว้ให้อยู่ในอ้อมแขน แล้วใช้แขนวัดน้ำว่าอยู่ในระดับไหน คือจะยอมตัวเปียก เพื่อไม่ให้ลูกได้รับอันตราย ทุกวันนี้ก็ซื้อบ้าน เพื่อให้ลูกได้มีที่อยู่อาศัยหลับนอน และต้องเสียเงินเป็นค่าดอกอีกวันละ 700 บาท แต่ถ้าวันไหนที่ฝนตกก็เท่ากับว่าไม่มีรายได้เข้าบ้านเลย แต่อย่างไรแม่คนนี้ก็จะสู้เพื่อลูกต่อไป




ที่มา 

มนต์เสน่ห์ เชียงคาน เมืองริมน้ำโขง

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ Phitchaphat , คู่หูเดินทาง

          ... เหมือนเวลาจะหมุนช้าลง เมื่อมาเยือน เชียงคาน ...
          คงไม่ใช่คำกล่าวอ้างที่ผิดนัก เพราะ เชียงคาน อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดเลย ยังคงอารยธรรมแห่งลุ่มน้ำโขง ที่ผสมผสานกับความทันสมัยของโลกปัจจุบันได้อย่างลงตัว ความเงียบสงบของเมือง ความน่ารักของผู้คน ที่ยังดำรงวิถีชีวิตแบบราบเรียบ และกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างแนบแน่นดีเยี่ยม รวมไปถึงทัศนียภาพพริมฝั่งโขงที่สวยงาม คงเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่ทำให้นักเดินทางมักแวะเวียนไปต้องมนต์เสน่ห์ ณ เชียงคาน

          แต่่จริง ๆ แล้ว เชียงคาน ยังมีอะไรดี ๆ เด็ด ๆ รอให้คนที่ชื่นชอบวิถีชีวิตท้องถิ่น รักความงามของอดีตกาล ไปสัมผัสถึงความเป็น เชียงคาน ให้เห็นด้วยตา ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมก็พร้อมจะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ เชียงคาน ให้มากขึ้นอีก ถ้าใครพร้อมแล้วก็ตามเราเข้าไปเที่ยว เชียงคานเลย...

 เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน
 
เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน


          เชียงคาน เป็นอำเภอหนึ่งของ จังหวัดเลย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 940.45 ตารางกิโลเมตร แต่เดิม เชียงคาน ตั้งอยู่ที่ เมืองชะนะคาม ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อตั้งขึ้นประมาณพ.ศ. 1400 โดย ขุนคาม แห่งอาณาจักรล้านช้าง ต่อมา พ.ศ.2250 อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักร คือ อาณาจักรหลวงพระบาง และ อาณาจักรเวียงจันทน์ โดยกำหนดอาณาเขตให้ดินแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไปเป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นอาณาเขตเวียงจันทน์ 

          ใน พ.ศ.2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก กับ พระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์ เมื่อรบชนะจึงได้อันเชิญ พระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรี และทำการรวมอาณาจักรล้านช้างเข้ามาเป็นประเทศราชของไทย พร้อมกับกวาดต้อนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหือง 
เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

          จากนั้นสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากไทย แต่ในที่สุด เจ้าอนุวงศ์ ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต กองทัพไทยที่ยกมาปราบ เจ้าอนุวงศ์ ได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงมายังเมืองปากเหืองมากขึ้น พระเจ้ากรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ ให้ พระอนุพินาศ (กิ่งต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองคนแรก พระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงคาน 


          ครั้นถึงสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ และได้เข้าปล้นสดมภ์เมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ครั้นต่อมาเห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนจึงอพยพไปอยู่ที่ บ้านท่านาจันทร์ (ใกล้กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน) แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส ทำให้เมืองปากเหืองตกเป็นของฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่ เมืองใหม่เชียงคาน หรือ อำเภอเชียงคาน ในปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้





 

สำหรับแหล่งท่องเที่ยวเที่ยวแจ่ม ๆ ของ เชียงคาน ได้แก่ ...

           วัดศรีคุณเมือง ตั้งอยู่ที่ซอย 7 ถนนชายโขง ทางด้านเหนือของตลาดเชียงคาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบตัวพระอุโบสถ วัดนี้เป็นแหล่งรวมงานศิลปะทั้งแบบล้านนาและล้านช้างดังจะเห็นได้จากโบสถ์ ซึ่งหลังคาลดหลั่นอย่างศิลปะล้านนา ศิลปวัตุที่สำคัญมีหลายชิ้น เช่น พระพุทธรูปไม้จำหลัก มีพระเกศาเป็นปุ่มแหลมเล็ก พระกรรณค่อนข้างแหลมและยาว ลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง สันนิษฐานว่ามีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 24-25 นอกจากนี้ ในวัดยังมีธรรมาสน์ไม้แกะสลักลงรักปิดทองทุกด้านที่พนักหลังมียอดคล้ายปราสาท ด้านหน้าโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอยู่เต็มหน้าบัน ภาพทั้งหมดเป็นภาพนิทานชาดกชุดพระเจ้าสิบชาติซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม

           วัดท่าแขก เป็นวัดเก่าแก่โบราณ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ห่างจากอำเภอเชียงคาน 2 กิโลเมตร ก่อนถึงหมู่บ้านน้อย และแก่งคุดคู้ ปัจจุบันเป็น วัดธรรมยุติ ภายในโบสถ์มีพระพุทธรูป 3 องค์ สกัดจากหินแกรนิตทั้งก้อน หน้าตักกว้าง 2 ศอก เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์มาก




           พระพุทธบาทภูควายเงิน ตั้งอยู่ที่บ้านอุมุง ตำบลบุฮม ตามเส้นทางสายเชียงคาน-ปากชม ระยะทาง 6 กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านผาแบ่นมีทางแยกเข้าบ้านอุมุง 3 กิโลเมตร จะถึงทางขึ้นเขาเป็นทางลูกรังระยะทาง 1 กิโลเมตร เป็นรอยพระพุทธบาทที่ตั้งอยู่บนหินลับพร้า (หินลับมีด) ประชาชนเคารพนับถือมาก จะมีงานเทศกาลประจำปีในวันเพ็ญเดือน 3 หรือเดือน 4 ของทุกปี

เชียงคาน

เชียงคาน

           พระใหญ่ภูคกงิ้ว เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า พระพุทธนวมินทรมงคลลีลา ทวินคราภิรักษ์ ตั้งอยู่ที่ภูคกงิ้ว บ้านท่าดีหมี ตำบลปากตม ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาบริเวณปากลำน้ำเหืองจรดกับแม่น้ำโขง เป็นพระพุทธรูปปางลีลาประทานพร หล่อด้วยไฟเบอร์ผสมเรซิ่นสีทองทั้งองค์ สูง 19 เมตรตัวฐานกว้าง 7.2 เมตร สร้างขึ้นโดยกองทัพภาคที่ 2 และประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครบ 6 รอบ เมื่อ พ.ศ.2542 และในมหามงคลแห่งราชพิธิราชาภิเษก ครบ 50 ปี พ.ศ. 2543 สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2544 บริเวณโดยรอบสามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามของแม่น้ำโขง และประเทศลาวได้ การเดินทาง จากตัวเมืองเลยทางหลวงหมายเลข 201 (เลย-เชียงคาน) ไป 47 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกตรงไปจนถึงบ้านท่าดีหมี่ แล้วเลี้ยวขวาที่โรงเรียนบ้านท่าดีหมี่ ไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร

           แก่งคุดคู้ เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร ประกอบด้วย หินก้อนใหญ่ ๆ เป็นจำนวนมาก จากการที่หินเหล่านี้อยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน ทำให้หินเหล่านี้มีสีสัน ไปต่าง ๆ ตัวแก่งกว้างใหญ่เกือบจรดสองฝั่งแม่น้ำโขง มีกระแสน้ำไหลผ่านไปเพียงช่องแคบ ๆ ใกล้ฝั่งไทยเท่านั้นเอง ซึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกราก เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้ที่สุดคือ เดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้ง มองเห็นเกาะแก่งชัดเจน บริเวณแก่งมีร้านอาหารจำหน่ายมากมาย

เชียงคาน

เชียงคาน

           จุดชมวิวภูทอก ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงคาน เป็นเพียงภูเขาลูกเล็ก ๆ แต่ ภูทอก แห่งนี้ก็มีเสน่ห์ที่เป็นจุดชมวิว ชมความงามของแม่น้ำโขง เมืองสานะคาม และแก่งคุดคู้ได้อย่างชัดเจน และเสน่ห์ยิ่งกว่านั้นของ ภูทอก ในฤดูฝนและฤดูหนาวจะถูกปกคลุมไปด้วยผ้าห่มหมอก หากได้มองจากยอดภูทอกจะเห็นเป็นทะเลหมอกได้แบบรอบทิศเลยทีเดียว การเดินทาง สามารถขับรถขึ้นไปได้ เริ่มจากซอยข้างโรงพยาบาลเชียงคาน ตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงทางสามแยกตีนภูทอก แล้วเลี้ยวซ้ายตามถนนตัดใหม่ จะเป็นทางเข้าสู่เส้นทางขึ้นยอดภูทอก หากไม่ทราบเส้นทางที่แน่ชัดก็สามารถสอบถามคนเชียงคานได้เลย


เชียงคาน

เชียงคาน 

          ปัจจุบันแม้ว่าบ้านเรือนอาคารต่าง ๆ ภายใน เชียงคาน จะแปลเปลี่ยนดัดแปลงมาทำ โรงแรม เกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แกลอรี่ ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายโปสต์การ์ด ฯลฯ แต่ความเป็นเชียงคาน ก็ยังคงอยู่เฉกเช่นวันวาน วัฒธรรมการตักบาตรข้าวเหนียวยามเช้าแบบเมืองหลวงพระบาง ที่เชียงคาน ก็มีให้เห็นเหมือนเคย ในช่วงเวลาประมาณ 06.00 – 06.30 น. จะมีผู้คนมารอใส่บาตรข้าวเหนียวยามเช้าเป็นประจำทุกวัน 

          
ในส่วนของที่พัก ในเมือง เชียงคาน มีให้เลือกมากมาย หลายแบบหลายสไตล์ ราคาคละเคล้ากันไป เริ่มตั้งแต่ประมาณ 300 บาทต่อคืน ไปจนถึงประมาณ 3,000 บาท ใครที่ต้องการดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่ 

          สมแล้วกับคำขวัญที่ว่า...เชียงคาน เมืองคนงาม ข้าวหลามยาว มะพร้าวแก้ว เพริศแพร้วเกาะแกง แหล่งวัฒนธรรม น้อมนำศูนย์ศิลปาชีพ

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน

เชียงคาน
 




การเดินทาง


          รถยนต์

          เส้นทางที่ 1 : จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ผ่านตัวเมืองสระบุรี ตรงเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 203 ผ่านอำเภอหล่มสัก หล่มเก่า เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ ถึงตัวเมืองเลยใช้เวลาเดินทางประมาณ 7-8 ชั่วโมง

          เส้นทางที่ 2 : จากสระบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 มิตรภาพ ผ่านจังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดขอนแก่น แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ แล้วใช้เส้นทางหมายเลข 201 เข้าเขตจังหวัดเลยที่อำเภอภูกระดึง อำเภอวังสะพุง ถึงตัวเมืองเลยได้เช่นเดียวกัน

          รถไฟ

          จังหวัดเลยไม่มีสถานีรถไฟ นักท่องเที่ยวต้องเดินทางไปลงที่สถานีอุดรธานี และต่อรถโดยสารประจำทางไป จังหวัดเลยได้ สอบถามตารางรถไฟได้ที่ หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร.1690, 0 2233 7010, 0 2223 7020 หรือ สถานีอุดรธานี โทร. 0 4222 2061 www.railway.co.th
          
          รถโดยสารประจำทาง

          บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-เลย ทุกวัน ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง รายละเอียดสอบถามที่สถานีขนส่ง หมอชิต 2 โทร.0 2936 2852-66 www.transport.co.th
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
  และ เชียงคาน.com  
loading...

Facebook

นิยม

บทความ

loading...