ทุกเรื่องในนี้จะไม่ขอกล่าวถึงชื่อสถาบันใดๆทั้งสิ้น และแต่ละเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา ถ้ามีตอนใดที่ผิดเพี้ยนไปก็ต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยนะคะ
เรื่องที่ 1 : ป๊อก ครืด
เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ในแง่ของความเศร้า ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก
ถนนยังเป็นลูกรังถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3ของหอ
ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ประมาณว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้
อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก
ซื้อลาดหน้า (หรือผัดไทซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกันกินแล้วจะได้กินยาเมทคนนั้นก็บอกว่าได้เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ
หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้องคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่ออ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลืออยู่ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อน
ทำไมยังไม่กลับมาซะทีตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ
ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา
จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา
และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้
เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ ได้อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ
เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่
รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป
รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและ
ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี
นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด(ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพะยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน> แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย
เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ
แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ?ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว นำห่อลาดหน้าที่ซื้อ
มาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหัก หมดแล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง
ขึ้นมา เป็นเสียง“ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด”ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมด
ห่วง….ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง
ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
มิตรภาพอยู่เหนือความตาย….
เรื่องที่ 2 : เปรตหอนาฬิกา
อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อนทำให้เรื่องเล่าเรื่องผี ทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวง
เวียนสี่แยกฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิตฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เป็น หอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง
เรื่องนี้มีอยู่ว่า เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (วงเวียนจะ
เวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ
แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆกันใครอยากรู้ก็ลองดู
อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆเล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิต
ไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า
เรื่องที่ 3 : ห้องสีชมพู
เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วไปมีอะไรกับผู้ชาย แล้วเกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา
จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่เมท
ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่
ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี
หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง)
โดยที่เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย
เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป
จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพู ไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา
ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ
หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้
เรื่องที่ 4
ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆหน่อยลองไปหาดูเอาเองลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า จะอยู่ทาง
ขวา
รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง)ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกเข้าห้องน้ำคน
เดียว คนอื่นๆก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา
ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างในตอนฉี่ก็
ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจกภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก!(หันหลังให้)นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร
แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม? คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน
เรื่องที่ 5
สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร)อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆนักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง ตอนกลางคืน
มันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมาไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)
วันหนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิตครับ)ครึ้มๆขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคน
ซ้อนก็นั่งไป เมาๆขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้)
ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไมmungไม่
จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร?” คนขับ “kuไม่จอดด้วยหรอก
คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้าmungกะku ก็เจอเขาอีกแหละ...”
เรื่องที่ 6 : เรื่องพยาบาลในชุดแดงของคณะแพทย์
เห็นเขาเล่าว่ามีนักศึกษาคนนึงของคณะแพทย์อยู่ทำงานในตึกของฝั่งสวนดอก(ไม่แน่ใจว่าเป็น โรงพยาบาลหรือตึกแพทย์คนเล่าไม่ยืนยันแต่2ตึกนี้ก็ใกล้กันนี่กลับเข้าเรื่องต่อ)
เขาคนนี้ก็ทำงานอยู่จนดึกก็เลยว่าจะลงลิฟต์มาระหว่างที่รอ เขาก็ได้ยินเสียงเดินมาข้างๆเขาก็หันไปมองเห็นพยาบาลคนนึงเดินมา เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะพยาบาลกับแพทย์
ก็ต้องเจอกันบ่อยๆอยู่แล้ว
ระหว่างรอลิฟต์นักศึกษาคนนี้ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ ก็เลยหันไปมองพยาบาลคนนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร ซ้ำพยาบาลคนนี้ยังยิ้มให้ด้วย สักพักต่อมาเมื่อเข้าไปในลิฟต์พยาบาลคนนี้ก็
ถามว่ามาทำอะไรดึกๆอย่างนี้
เขาเลยตอบว่ามาศึกษาเรื่องการผ่าตัดภายในเพราะว่าจะสอบ พยาบาลคนนี้เลยบอกว่างั้นให้ฉันช่วยนะนักศึกษาคนนี้ก็เลยงง และเริ่มสังเกตว่าคอของผู้หญิงเริ่มมีเลือด
ไหลออกมาจากคอเรื่อยๆ
เขาตกใจมากพยายามที่จะหนีออกมาจากลิฟต์แต่ลิฟต์เหมือนค้างหรืออะไรไม่ทราบ เลือดไหลนองทั่วชุดของนางพยาบาลคนนี้ แล้วเธอก็เริ่มสอนนักศึกษาแพทย์คนนี้ตั้งแต่ลำไส้
ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้งควักส่วนต่างๆเหล่านี้ออกมา รุ่งขึ้นก็มีคนพบชายคนนี้นอนคาอยู่ทางประตูลิฟต์ที่เปิดปิดอยู่แล้วเขาก็เอาแต่ พร่ำเพ้ออย่างคนบ้าว่า” พยาบาล
ชุดแดง พยาบาลชุดแดง”
เรื่องที่ 7
เรื่องมีอยู่ว่า มีเรื่องเล่าว่ามีนักศึกษาหญิงในมหาลัยแห่งหนึ่งแถวรังสิตผูกคอตายในห้องน้ำของตึกเรียนตึกหนึ่ง และหลายคืนแล้วที่มีคน ได้ยินเสียงของนศ.ญ ร้องไห้ หรือพบ
เห็นเธอเป็นประจำ โดยเฉพาะเห็นเธอในกระจก ในห้องน้ำนั้น..
จนกลายเป็นเรื่องเล่าของมหาลัย.. วันนึงมี นศ. ชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 3-4กำลังจะเดินกลับหอ คนนึงในกลุ่มก็เกิดคึกอยากลอง แต่อีก 3คนไม่กล้า....
คนที่หนึ่งจึงเข้าไปคนเดียวโดยที่เพื่อนๆรออยู่ข้างนอก...นศ.ชายคนนั้นก็ทำเป็นเก่งตะโกนคุยกับเพื่อนข้างนอก... วันนี้ร้อนว่ะเนอะ...” แล้วเค้าก็เอาน้ำล้างหน้าแล้วก็เอาน้ำล้าง
หน้าแล้วก็ดูกระจกแล้วก็แต่งผมอยู่ซักพักแล้วก็เดินออกมา.
ดูกระจกก็ไม่เห็นมีไรเลย เรื่องเล่าก็แค่เรื่องหลอกเด็ก อากาศมันร้อนkuเลยล้างหน้าซะด้วยเลย..” “ !!! “
“เฮ้ย mung เอาน้ำที่ไหนล้างวะ ห้องน้ำไม่มีคนใช้เค้าเลยตัดน้ำไปนานแล้ว...ไอ้กระจกตรงอ่างก็ด้วย กระจกก็มีคนเคยเอาของเขวี้ยงมันแตกไปนานแล้ว.”............ จบ
บริบูรณ์
เรื่องที่ 8
อ๊าย...เรื่องลิฟท์แดงนี่เรื่องเล่าเยอะมาก เห็นว่าเมื่อตอนเหตุการณ์เดือนตุลาน่ะค่ะพวกทหารบุกเข้ามาในมหาวิทยาลัย แล้วพอลิฟท์ตัวนี้เปิดพวกมันก็กระหน่ำยิง คนในลิฟท์ซึ่ง
เป็นอาจารย์และนักศึกษาเสียชีวิตหมด
เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์ เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นแล้ว มหาวิทยาลัยกลับคืนสู่สภาพเดิม มีการบูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ลิฟท์ตัวนั้น แต่ทีนี้ทำยังไง
คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ไม่ออกเหมือนจะเป็นการประจานการกระทำอันบ้าเลือดและไม่ยุติธรรม
จึงได้ทำการทาสีลิฟท์ให้เป็นสีแดง นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็ได้มีเรื่องเล่าตามมาว่า หลังจากที่ลิฟท์ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วนั้น ก็ได้มีการนำกลับมาใช้ตามปกติ
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อนักศึกษาหญิงคนนึงกำลังใช้บริการลิฟท์แดงตามลำพังแต่แล้วเมื่อเธอมองไปที่กระจกกลับพบว่าไม่ได้มีเธออยู่เพียงลำพังหากแต่มีผู้โดยสารลิฟท์ตัวนี้อยู่มาก
มายแล้วยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่เหล่านักศึกษาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ต่างๆได้พบเจอกับอาถรรพ์ของลิฟท์แดงตัวนี้เข้าทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนตัวลิฟท์ใหม่
แต่ว่าประตูลิฟท์แดงที่ถูกถอดออกไปตอนนี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ชั้น4มาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องที่ 9
วงเวียนธรณี-ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ(ผมด้วย)จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ เรื่องนี้นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง
ข้างตึกอังกฤษ
เห็นคนหัวขาดยืนอยู่ ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆบอกไม่เห็นอะไร มองอีกทีก็ไม่มีแล้วหันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส็นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร
เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....
เรื่องที่ 10
อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน พอดึกๆก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก้อกน้ำข้างตึกก็ไปล้างมือที่นั่นตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้า
ตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร
คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึกแล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไรอีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น
มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!
เรื่องที่ 11
แลปฟิสิกส์ -อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้วเราเองก็มาไม่ทัน เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี1 ก็ยังทำที่แลปเก่า(น่าจะ
เป็นตึกฟิสิกส์)แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง
คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆก็มากันแล้ว ตรียม
อุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มาแต่ก้มหน้าก้มตา
ไม่พูดไม่จาถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบเหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธฮจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น ผู้หญิงร้อง
กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง
ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซครถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคืดพาร์ท
เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต
เรื่องที่ 12
ทางเดินคณะวิดวะ มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ5ชายวันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไรไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่ก็ตอบ
ว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร ่เค้าก็ตอบว่าเก้า(ไปเลข9)
คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออกแล้วรีบกลับมาที่หอมีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆตรงทางเดินน่ะนะ!
เรื่องที่ 1 : ป๊อก ครืด
เรื่องผีอันดับหนึ่งของ มหาลัย... ในแง่ของความเศร้า ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่ทราบแน่ชัดแต่สถานที่เกิดคือ หอหญิง ในสมัยที่มหาลัย ยังเป็นที่รกร้างอยู่มาก
ถนนยังเป็นลูกรังถนนหน้าฝนเป็นโคลน รถไปมาลำบาก ตอนกลางคืนมืด ไม่มีแสงไฟ เรื่องเกิดกับ นักศึกษาสาว คู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3ของหอ
ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ประมาณว่านักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำแล้วรูมเมทชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้
อยู่จึงไปไม่ไหว อยากพักผ่อน พอเมทคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วง จึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมาฝากเพื่อนคนที่ไม่สบายก็บอกว่า ยังไงฝาก
ซื้อลาดหน้า (หรือผัดไทซักอย่างที่เป็นเส้นๆ) มาให้ทีละกันกินแล้วจะได้กินยาเมทคนนั้นก็บอกว่าได้เดี๋ยวจะรีบไปรีบกลับ
หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้องคนที่ไม่สบายก็นั่งอ่านหนังสือต่ออ่านได้ซักพักก็ไม่ไหว เพราะไข้ขึ้น จึงนอนตอนนอนอยู่นั้นสลึมสลืออยู่ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว เพื่อน
ทำไมยังไม่กลับมาซะทีตกดึก ฝนเริ่มตก นักศึกษาคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อในใจเป็นห่วงเพื่อนเพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ
ซักพักนักศึกษาคนนั้นได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่าง จากทางบันได ”ป๊อก…………ป๊อก………ป๊อก………ป๊อก…….” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา
จากทางบันได ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา
และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องนักศึกษาหญิงคนนั้นอยู่ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไป “ครื……..ด……..ครื………..ด…….ค..รื…ด” เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรซักอย่างใกล้
เข้ามาเรื่อย จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง นักศึกษาหญิงเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ ได้อึดใจนึงก็มีเสียงเคาะห้อง
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อลาดหน้าแขวนอยู่ พอ
เห็นห่อลาดหน้า ก็งง แล้วเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่ทำไมต้องเอามาแขวนไม่รอเจอกันก่อน จะได้รู้ว่าเป็นใคร แล้วทำไมเดินเร็วจัง มีแต่
รอยเปียกน้ำเป็นทางจากบันได….คิดต่างๆนา แต่แล้วก็แกะห่อลาดหน้าออกทานเสร็จก็ทานยาตาม ได้ซักพักก็ม่อยหลับไป
รุ่งเช้า…………….มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืนตรงพงหญ้าข้างทางคาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและ
ขาทั้งสองข้างหักอาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี
นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาด(ไม่แน่ใจว่าเป็นฝายหินหรือตลาดต้นพะยอม) หลังจากทานข้าวเสร็จทุกทีจะไปกับเพื่อน> แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดย
เพื่อนฝากซื้อข้าวห่อคนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ
แล้วลาดหน้าเมื่อคืนล่ะ?ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือหลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว นำห่อลาดหน้าที่ซื้อ
มาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหัก หมดแล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุงแล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันไดลากตัวเอง
ขึ้นมา เป็นเสียง“ป๊อก ป๊อก” เสียง “ครืด”ที่ได้ยินคือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฎเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกันหลังจากส่งห่อลาดหน้าให้ได้แล้วก็หมด
ห่วง….ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่าแต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆห้องยืนยันว่าในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนักและลากของหนักจากข้างล่าง
ขึ้นมาแล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
มิตรภาพอยู่เหนือความตาย….
เรื่องที่ 2 : เปรตหอนาฬิกา
อันเนื่องจากเคยเป็นป่าช้าและลานประหารเก่ามาก่อนทำให้เรื่องเล่าเรื่องผี ทั้งเก่าและใหม่มีมากมาย เรื่องนี้อยู่ที่หอนาฬิกาใหญ่ ตรงสี่แยกจากประตูหลังมอตรงนั้นจะเป็นวง
เวียนสี่แยกฝั่งตะวันตกเฉียงใต้เป็นคณะวิศวะฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นคณะศึกษาและโรงเรียนสาธิตฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ เป็น หอชาย และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหอหญิง
เรื่องนี้มีอยู่ว่า เล่ากันว่า ตรงหอนาฬิกา กลางวงเวียน มีเปรต หากไปลองของอาจโดนดีได้ วิธีการลองดีคือ ตอนเที่ยงคืนให้ไปวนรถทวนเข็มที่หอนาฬิกา สามรอบ (วงเวียนจะ
เวียนรถตามเข็ม) เล่ากันว่า ผู้ที่ลองทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครวนรถทวนเข็มได้ครบสามรอบซักคน ผู้มีประสบการณ์เล่าว่าในขณะที่วนรถอยู่นั้น จะรู้สึกได้ถึงลมที่เย็นผิดปกติ
แต่วนไปสองรอบก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มาเกิดตอนที่จะครบรอบที่สามจู่ๆก็มีเสาสองต้นตั้งขวางถนนอยู่ ทำให้ต้องหักรถหลบ รถล้มบ้าง แฉลบบ้างไปตามๆกันใครอยากรู้ก็ลองดู
อีกกรณีหนึ่งมีข่าวอยู่บ่อยๆว่านักศึกษาที่พักอยู่ในหอพักชายและหญิงฝั่งที่ติดกับหอนาฬิกา มักได้ยินเสียงแหลมๆเล็ก ดังมาจากทางหอนาฬิกา สอบถามแล้วคืนนั้น เด็กสาธิต
ไม่มีการทำกิจกรรมและคณะวิศวะไม่มีกิจกรรม หรือการก่อสร้างใดๆ และที่สำคัญ บางห้องได้ยินบางห้องไม่ได้ยินทั้งที่อยู่ติดกัน? เป็นเพียงเรื่องเล่า
เรื่องที่ 3 : ห้องสีชมพู
เรื่องนี้เกิดที่หอหญิง เป็นเรื่องของนักศึกษาหญิงที่เข้ามาพักในหอในแล้วไปมีอะไรกับผู้ชาย แล้วเกิดพลาดตั้งครรภ์ขึ้นมา รู้ตัวเอาตอนท้องได้ 4 เดือนแล้วแต่มันยังไม่ป่องออกมา
จึงปิดเงียบไม่ให้ใครรู้แม้แต่เมท
ทำยังไงถึงจะเอาออกได้ พลาดไปแล้วแต่ไม่อยากเสียอนาคต ไม่มีเงินทำแท้ง แฟนไม่รับผิดชอบ ตัดสินใจเอาออกเองในห้องพักโดยเลือกตอนช่วงที่เพื่อนไม่อยู่
ทำเองคนเดียว โดยไม่ทราบวิธีการ ปรากฎว่าผลร้ายกว่าที่คิดนักศึกษาคนนั้นตกเลือดตายในห้องเพื่อนมาพบศพตอนเย็น เห็นรอยเลือดกระจัดกระจาย ติดฝาผนังบ้างก็มี
หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยแล้ว (รวมถึงทำความสะอาดห้อง)
โดยที่เมทของคนตายก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเห็นรอยเลือดสีจางๆติดอยู่ที่ผนังสีขาวก็เลยให้คนเอาสีขาวมาทาทับ วันรุ่งขึ้นเปิดเข้าไปทำความสะอาดรอย
เลือดยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะทำยังไงทั้งขัด ทั้งถู หรือทาสีใหม่ รอยเลือดนี้ก็ยังไม่หายไป
จนสุดท้ายทางหอพักจึงต้องนำสีชมพู ไปทาทั้งห้องเพื่อไม่ให้เห็นรอยเลือด กลายเป็นห้องสีชมพูตั้งแต่นั้นมา
ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่ปิดตาย เคยมีแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดที่ห้องนี้ แล้วออกจากห้องไม่ได้ เพราะลูกบิดถูกล๊อค (ทั้งที่ตัวล๊อคอยู่ในห้อง) ลองไปเยี่ยมชมดูได้ครับ
หนึ่งความพลาดพลั้งที่ไม่มีอะไรแก้ไขได้
เรื่องที่ 4
ที่ห้องน้ำคณะสังคมศาสตร์ ที่เก่าๆหน่อยลองไปหาดูเอาเองลักษณะห้องน้ำคือประตูอยู่ตรงกลาง เข้าไปแล้วโถฉี่จะอยู่ทางซ้ายมือ ส่วนอ่างล้างหน้ากับกระจกส่องหน้า จะอยู่ทาง
ขวา
รุ่นพี่ที่อยู่คณะสังคมเคยเล่าว่าเคยมีคนเล่าให้ฟังว่า(ฟังเขามาอีกต่อหนึ่ง)ตอนกลางคืนช่วงใกล้สอบไปอ่านหนังสือที่คณะสังคม แล้วปวดฉี่เลยไปฉี่ที่ห้องน้ำนี้ ลุกเข้าห้องน้ำคน
เดียว คนอื่นๆก็นั่งอ่านหน้งสืออยู่ คนไปฉี่ก็เข้าไปฉี่ธรรมดา
ห้องน้ำมีโถฉี่สองอัน อันแรกติดประตูอันที่สองอยู่ด้านขวา ข้างในไปอีก เขาบอกว่าตอนจะฉี่ ก็จะฉี่ที่โถแรกเพราะใกล้กว่า แต่ไม่รู้นึกยังไงเลยเดินเลยไปฉี่ที่โถข้างในตอนฉี่ก็
ยังไม่มีอะไรแต่ตอนฉี่เสร็จแล้วมองออกไปที่กระจกภาพในกระจกสะท้อนเห็นกำลังมีคนยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่อันแรก!(หันหลังให้)นึกว่าตาฝาดเพราะหันไปดูก็ไม่มีอะไร
แต่พอไปดูในกระจก ก็เห็นเหมือนเดิม? คืนนั้นเลยไม่ได้อ่านหนังสือกันพอดี พวกขี้เหล้าทั้งหลายที่ชอบไปกินแถวนั้นก็ระวังหน่อยละกัน
เรื่องที่ 5
สมัยนั้นเวลากลางคืนดอยสุเทพยังไม่ปิดความนิยม(ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร)อย่างหนึ่งก็คือเวลาเมาๆนักศึกษาทั้งหลายมักจะขับรถขึ้นดอยกันขึ้นไปดูเชียงใหม่ทั้งเมือง ตอนกลางคืน
มันสวยดี (แต่ดันขับรถตอนเมาไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง)
วันหนึ่ง นักศึกษาจากคณะวิศวะสองคนเพิ่งเลิกจากกังสดาล(แต่ก่อนร้านนี้ฮิตครับ)ครึ้มๆขึ้นมาก็เลยขับรถเลยจากทางเข้า กะขึ้นดอยไปชมเมืองเล่น คนขับก็ขับไปข้างหลังคน
ซ้อนก็นั่งไป เมาๆขึ้นมาคนซ้อนก็เลยหลับ(สมัยก่อนแปดสิบเปอร์เซ็นต์นักศึกษาขับแมงกะไซค์ไม่ใช่รถยนต์อย่างทุกวันนี้)
ซักพักหนึ่งคนซ้อนก็ตื่น กำลังเข้าโค้งพอดี เห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนโบกรถอยู่ข้างทาง แต่คนขับก็ขับเลยผ่านไป ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษจัด ก็เลยถามคนขับว่า “ทำไมmungไม่
จอดรถลงไปถามหน่อยล่ะ เผื่อเขามีปัญหาอะไร?” คนขับ “kuไม่จอดด้วยหรอก
คนนี้เขารอโบกทุกโค้งเลย เจอมาหลายโค้งแล้ว เดี๋ยวโค้งหน้าmungกะku ก็เจอเขาอีกแหละ...”
เรื่องที่ 6 : เรื่องพยาบาลในชุดแดงของคณะแพทย์
เห็นเขาเล่าว่ามีนักศึกษาคนนึงของคณะแพทย์อยู่ทำงานในตึกของฝั่งสวนดอก(ไม่แน่ใจว่าเป็น โรงพยาบาลหรือตึกแพทย์คนเล่าไม่ยืนยันแต่2ตึกนี้ก็ใกล้กันนี่กลับเข้าเรื่องต่อ)
เขาคนนี้ก็ทำงานอยู่จนดึกก็เลยว่าจะลงลิฟต์มาระหว่างที่รอ เขาก็ได้ยินเสียงเดินมาข้างๆเขาก็หันไปมองเห็นพยาบาลคนนึงเดินมา เขาก็ไม่ได้สงสัยอะไร เพราะพยาบาลกับแพทย์
ก็ต้องเจอกันบ่อยๆอยู่แล้ว
ระหว่างรอลิฟต์นักศึกษาคนนี้ก็ได้กลิ่นอะไรแปลกๆ ก็เลยหันไปมองพยาบาลคนนี้ ก็ไม่เห็นมีอะไร ซ้ำพยาบาลคนนี้ยังยิ้มให้ด้วย สักพักต่อมาเมื่อเข้าไปในลิฟต์พยาบาลคนนี้ก็
ถามว่ามาทำอะไรดึกๆอย่างนี้
เขาเลยตอบว่ามาศึกษาเรื่องการผ่าตัดภายในเพราะว่าจะสอบ พยาบาลคนนี้เลยบอกว่างั้นให้ฉันช่วยนะนักศึกษาคนนี้ก็เลยงง และเริ่มสังเกตว่าคอของผู้หญิงเริ่มมีเลือด
ไหลออกมาจากคอเรื่อยๆ
เขาตกใจมากพยายามที่จะหนีออกมาจากลิฟต์แต่ลิฟต์เหมือนค้างหรืออะไรไม่ทราบ เลือดไหลนองทั่วชุดของนางพยาบาลคนนี้ แล้วเธอก็เริ่มสอนนักศึกษาแพทย์คนนี้ตั้งแต่ลำไส้
ปอด สมอง หัวใจ พร้อมทั้งควักส่วนต่างๆเหล่านี้ออกมา รุ่งขึ้นก็มีคนพบชายคนนี้นอนคาอยู่ทางประตูลิฟต์ที่เปิดปิดอยู่แล้วเขาก็เอาแต่ พร่ำเพ้ออย่างคนบ้าว่า” พยาบาล
ชุดแดง พยาบาลชุดแดง”
เรื่องที่ 7
เรื่องมีอยู่ว่า มีเรื่องเล่าว่ามีนักศึกษาหญิงในมหาลัยแห่งหนึ่งแถวรังสิตผูกคอตายในห้องน้ำของตึกเรียนตึกหนึ่ง และหลายคืนแล้วที่มีคน ได้ยินเสียงของนศ.ญ ร้องไห้ หรือพบ
เห็นเธอเป็นประจำ โดยเฉพาะเห็นเธอในกระจก ในห้องน้ำนั้น..
จนกลายเป็นเรื่องเล่าของมหาลัย.. วันนึงมี นศ. ชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 3-4กำลังจะเดินกลับหอ คนนึงในกลุ่มก็เกิดคึกอยากลอง แต่อีก 3คนไม่กล้า....
คนที่หนึ่งจึงเข้าไปคนเดียวโดยที่เพื่อนๆรออยู่ข้างนอก...นศ.ชายคนนั้นก็ทำเป็นเก่งตะโกนคุยกับเพื่อนข้างนอก... วันนี้ร้อนว่ะเนอะ...” แล้วเค้าก็เอาน้ำล้างหน้าแล้วก็เอาน้ำล้าง
หน้าแล้วก็ดูกระจกแล้วก็แต่งผมอยู่ซักพักแล้วก็เดินออกมา.
ดูกระจกก็ไม่เห็นมีไรเลย เรื่องเล่าก็แค่เรื่องหลอกเด็ก อากาศมันร้อนkuเลยล้างหน้าซะด้วยเลย..” “ !!! “
“เฮ้ย mung เอาน้ำที่ไหนล้างวะ ห้องน้ำไม่มีคนใช้เค้าเลยตัดน้ำไปนานแล้ว...ไอ้กระจกตรงอ่างก็ด้วย กระจกก็มีคนเคยเอาของเขวี้ยงมันแตกไปนานแล้ว.”............ จบ
บริบูรณ์
เรื่องที่ 8
อ๊าย...เรื่องลิฟท์แดงนี่เรื่องเล่าเยอะมาก เห็นว่าเมื่อตอนเหตุการณ์เดือนตุลาน่ะค่ะพวกทหารบุกเข้ามาในมหาวิทยาลัย แล้วพอลิฟท์ตัวนี้เปิดพวกมันก็กระหน่ำยิง คนในลิฟท์ซึ่ง
เป็นอาจารย์และนักศึกษาเสียชีวิตหมด
เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์ เมื่อผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นแล้ว มหาวิทยาลัยกลับคืนสู่สภาพเดิม มีการบูรณะทำความสะอาดกันทุกพื้นที่ ไม่เว้นแม้แต่ลิฟท์ตัวนั้น แต่ทีนี้ทำยังไง
คราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่ก็ไม่ออกเหมือนจะเป็นการประจานการกระทำอันบ้าเลือดและไม่ยุติธรรม
จึงได้ทำการทาสีลิฟท์ให้เป็นสีแดง นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็ได้มีเรื่องเล่าตามมาว่า หลังจากที่ลิฟท์ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วนั้น ก็ได้มีการนำกลับมาใช้ตามปกติ
แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อนักศึกษาหญิงคนนึงกำลังใช้บริการลิฟท์แดงตามลำพังแต่แล้วเมื่อเธอมองไปที่กระจกกลับพบว่าไม่ได้มีเธออยู่เพียงลำพังหากแต่มีผู้โดยสารลิฟท์ตัวนี้อยู่มาก
มายแล้วยังมีอีกหลายครั้งหลายหนที่เหล่านักศึกษาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ต่างๆได้พบเจอกับอาถรรพ์ของลิฟท์แดงตัวนี้เข้าทำให้มหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนตัวลิฟท์ใหม่
แต่ว่าประตูลิฟท์แดงที่ถูกถอดออกไปตอนนี้ก็ยังตั้งอยู่ที่ชั้น4มาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องที่ 9
วงเวียนธรณี-ต้องขอโทษคนที่ผ่านทางนี้เป็นประจำ(ผมด้วย)จุดนี้มีเรื่องเยอะจริงๆ เรื่องนี้นานมาแล้วมีนักศึกษาสองคนกินเหล้าเมากันมา พอมาถึงข้างตึกธรณีคนขี่มองไปทาง
ข้างตึกอังกฤษ
เห็นคนหัวขาดยืนอยู่ ตกใจจึงหยุดรถขยี้ตาดูอีกทีแล้วสะกิดถามเพื่อนๆบอกไม่เห็นอะไร มองอีกทีก็ไม่มีแล้วหันกลับมาข้างหน้ามีลวดเส็นเล็กๆขึงอยู่ระดับคอห่างออกไปเมตร
เดียว ถ้าไม่หยุดรถคง!.....
เรื่องที่ 10
อาคารเรียนรวมแพทย์ มีคนไปอ่านหนังสือกันสองคน พอดึกๆก็ไปซื้อไก่ทอดมากินเสร็จแล้วก็หาที่ล้างมือเจอก้อกน้ำข้างตึกก็ไปล้างมือที่นั่นตอนที่ล้างอยู่เพื่อนอีกคนก็ทำหน้า
ตกใจมากแต่ยังไม่พูดอะไร
คนที่ทำหน้าตกใจรีบจูงมือเพื่อนกลับมาใต้ตึกแล้วถามว่ารู้มั้ยเมื่อกี้เห็นอะไรอีกคนบอกไม่รู้ คนนั้นจึงบอกว่าเห็นผมของอีกคนซึ่งผมยาวชี้ขึ้นมากระจุกหนึ่งเหมือนมีคนจับขึ้น
มา รู้ทีหลังว่าตรงนั้นเป็นที่ล้างศพ!
เรื่องที่ 11
แลปฟิสิกส์ -อันนี้ฟังเค้าเล่ามาอีกทีเป็นเรื่องนานมาแล้วเราเองก็มาไม่ทัน เรื่องมีว่าเมื่อก่อนตอนที่ตึกเก้าชั้นวิดยายังไม่ได้สร้างแลปฟิสิกส์ของเด็กปี1 ก็ยังทำที่แลปเก่า(น่าจะ
เป็นตึกฟิสิกส์)แลปคราวนั้นเป็นแลปเรื่องแสง
คนที่เคยเรียนคงรู้ว่าห้องจะมืดเพราะปิดไฟและเป็นแลปมืดจริงๆ เพราะทำช่วงค่ำ นักศึกษาหญิงคนนึงก็เข้าห้องแลปแต่พาร์ทเนอร์แลปยังไม่มา คนอื่นๆก็มากันแล้ว ตรียม
อุปกรณ์เสร็จเพื่อนก็มาแต่ก้มหน้าก้มตา
ไม่พูดไม่จาถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ตอบเหลือบเห็นที่คอมีรอยแผลเป็นทางยาว เธฮจับไหล่เพื่อนถามว่าไปโดนอะไรมาเพื่อนเงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวหลุดกลิ้งไปกับพื้น ผู้หญิงร้อง
กรี้ดแล้ววิ่งออกมาสลบตรงระเบียง
ฟื้นมามียามกับรุ่นพี่สองสามคน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าวันนี้แลปงด เพราะเมื่อเช้ามีนักศึกษาในเซครถคว่ำตาย เพื่อนเลยไปงานศพช่วงค่ำกันหมด สอบถามชื่อได้ความว่าคืดพาร์ท
เนอร์แลปของเธอนั่นเอง! ส่วนคนที่เจอในห้องแลปทุกคนล้วนแต่ไร้ชีวิต
เรื่องที่ 12
ทางเดินคณะวิดวะ มีคนสี่คนเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วตรงทางเดินยาวตรงข้ามหอ5ชายวันนั้นฝนตกด้วย มีผีผู้ชายเข้ามา พอถามว่าชื่ออะไรไม่ตอบถามว่ามาคนเดียวใช่รึไม่ใช่ก็ตอบ
ว่าไม่ใช่จึงถามต่อว่ามากันเท่าไหร ่เค้าก็ตอบว่าเก้า(ไปเลข9)
คนเล่นรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงเชิญออกแล้วรีบกลับมาที่หอมีเพื่อนถามว่าไปไหนกันมา ก็บอกว่าไปเล่นผีถ้วยแก้วในคณะวิดวะเพื่อนก็ว่า อ๋อที่ยืนมุงเยอะๆตรงทางเดินน่ะนะ!
Credit FWM