“ผีตาโขน”คืองานประเพณี วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ อ.ด่านซ้าย
จ.เลย เป็นที่รู้จัก
พิพิธภัณฑ์ผีตาโขนเป็นแหล่งรวมเรื่องราวของผีตาโขนไว้
สถานที่นี้นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวชม
พร้อมมีเวิร์กชอปเล็กๆให้ทดลองทำหน้ากากผีตาโขนดู
ชาวด่านซ้ายนั้นส่วนใหญ่จะมีฝีมือด้านการวาดหน้ากากผีตาโขน
ซึ่งร.ร.ในชุมชนได้นำไปบรรจุในหลักสูตรท้องถิ่น โรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยา
ได้เปิดการสอนวาดหน้ากากผีตาโขนให้กับนักเรียนในคาบเรียนศิลปะ ความรู้จากชั้นเรียนในระดับมัธยมวันนี้
สามารถก่อตั้งเป็นธุรกิจได้
บริษัท ตาโขน จำกัด
เกิดขึ้นจากการรวมตัวของนักเรียนชั้นมัธยมปลายของโรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยา
จ.เลย จำนวน 15 คน ทำสินค้าผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวขึ้น
จ.เลย จำนวน 15 คน ทำสินค้าผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวขึ้น
นางสาวอารยา เครือหงษ์ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 โรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยา ในฐานะประธาน
บริษัท ตาโขน จำกัด บอกเล่าว่าเธอและเพื่อนๆมองเห็น จุดอ่อนของตลาดขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวในชุมชน
เพราะอย่างที่รู้นักท่องเที่ยวมาเยือนด่านซ้ายต้องไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ผีตาโขน
ซึ่งที่นี่มีสินค้าจำหน่ายที่เป็นหน้ากากผีตาโขน
แต่เพื่อลองเก็บข้อมูลดูพบว่านักท่องเที่ยวตัดสินใจซื้อสินค้ายากเพราะราคาหน้ากากที่ต้องใช้ฝีมือทางศิลปะสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาประณีต
ทำให้สินค้ามีราคาสูง ราคาเริ่มต้นที่ 3,000-10,000 บาท
ในมุมมองแบบวัยรุ่นสินค้าที่ระลึกราคาสูงเช่นนี้
ไม่สามารถเรียกเงินจากนักท่องเที่ยวกระเป๋าเบา และกลุ่มวัยรุ่นอย่างเธอได้
เมื่อระดมความคิดกันแล้วอยากทำในสิ่งที่ท้าทาย ในการเปิดโลกเรียนรู้สู่การทำธุรกิจ
เธอและเพื่อนๆซึ่งอยู่ในชั้น ม.4 ได้ระดมเงินทุนคนละ 1,000 บาท จาก 15 คน
เงินทุน 15,000 บาท
นำไปซื้ออุปกรณ์ ทำสินค้าที่ระลึกอย่างหน้ากากผีตาโขนขนาดจิ๋ว พวงกุญแจ
และเสื้อยืด โคมไฟเพนท์ลายผีตาโขน อาทิราคาพวงกุญแจหนัง เข็มกลัด ขายราคา 30-35 บาท ที่ติดตู้เย็น เสื้อยืดตัวละ 159 บาท
ส่วนโคมไฟราคาสูงขึ้นมาถ้าทำมาจากไม้ไผ่ ราคา800 บาท
ไม้มะม่วงราคา 1,500 บาท
“จุดเด่นของผลิตภัณณฑ์จะเป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด
โดยเพื่อนๆในกลุ่มช่วยกันวาดลวดลายลงบนพวงกุญแจบ้างหน้ากากผีตาโขนขนาดเล็กบ้าง
ส่วนเสื้อยืดใช้วิธีสกรีน
สินค้านำไปวางจำหน่ายในร้านขายของที่ระลึกทั่วอำเภอด่านซ้ายและอำเภอใกล้เคียง”
อารยาบอกว่า
สินค้าได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวพอสมควร
โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวจังหวัดเลยจำนวนมาก
โดยเฉลี่ยทำให้มียอดขายเสื้อยืดเฉลี่ย 300-400 ตัว ต่อเดือน
และคาดว่าในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงมิ.ย.ที่จะมีงานประเพณีแห่ผีตาโขน
สินค้าจะขายดีมากยิ่งขึ้น ในรอบแรกสมาชิกได้แบ่งกำไรแล้วได้คนละ 1,000 บาทในเดือนพ.ย.ปีที่ผ่านมา
ที่เหลือเป็นทุนหมุนเวียนประมาณ 20,000 บาทและแบ่งสัดส่วนรายได้ 15
% (15,834.50 บาท) ไปซื้ออุปกรณ์สอนน้องๆและประชาชนทำโคมไฟผีตาโขน
และผลิตภัณฑ์ผีตาโขน
ทั้งนี้การทำธุรกิจระหว่างเรียนทำให้ไม่มีเวลาในการที่จะผลิตสินค้าได้ทันตามออเดอร์
กลุ่ม บริษัท ผีตาโขน ได้กระจายงานไปให้ชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันวาดเพนท์ลาย
บนพวงกุญแจ เข็มกลัด ทำโคมไฟ ซึ่งมีชาวบ้าน 2 กลุ่ม (เฉลี่ยกลุ่มละ2-3 คน) ที่รับงานไปทำต่อ
ทำให้แต่ละเดือนชาวบ้านซึ่งมีอาชีพหลักเป็นเกษตรมีรายได้เดือนละ 3,000-4,000 บาท
สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต อารยา บอกว่า
มีโครงการที่จะพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่างมากขึ้นมีแนวคิดที่จะทำหน้ากากผีตาโขนจากเปเปอร์มาเช่
รวมทั้งการพัฒนาโคมไฟให้มีง่ายต่อขนส่งทางไปรษณีย์ อาจต้องทำให้ถอดประกอบได้
ทั้งนี้สินค้า ผลิตภัณฑ์ผีตาโขน ยังได้รับคัดเลือกให้ไปออกร้านจำหน่ายสินค้าต่างๆ
เช่น งานศิลปหัตถกรรมนร.ระดับชาติ งานหัตถศิลป์ถิ่นโภชนา
ซึ่งจัดโดยสำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา สพฐ.กระทรวงศึกษาธิการ
ผลจากการประกอบธุรกิจที่ไม่เพียงแต่ทำให้ระหว่างเรียนมีรายได้
แต่ก่อให้เกิดการสร้างงานในพื้นที่ทำให้
ทีมจากโรงเรียนศรีสองรักษ์วิทยาได้รับรางวัล ชนะเลิศจากการประกวดโครงการกรุงไทย
ยุววาณิช ที่ธนาคารกรุงไทยจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 13 พร้อมทีมจากวิทยาลัยการอาชีพนางรอง
จ.บุรีรัมย์ สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศร่วมกัน
กับผลงานโครงการขยายพันธุ์พืชเพื่อชุมชน คือการขยายพันธุ์ต้นมะนาว
โดยได้รับทุนการศึกษา 390,000 บาท โล่รางวัล
และประกาศนียบัตร พร้อมทั้งศึกษาดูงานต่างประเทศ
“รู้สึกว่าตลอดระยะเวลาในการทำบริษัทตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมากที่เวลาเราลงแรงกายลงแรงใจไป
เราได้ผลตอบแทนกลับมาที่คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่เคยทำมา สิ้นค้าของเรา
เราได้ดึงเอาเอกลักษณ์ วัฒนธรรมท้องถิ่นของอำเภอด่านซ้าย
มาสร้างสรรค์มาเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่หลากหลาย
ซึ่งเราก็ไม่ได้ทำลายธรรมชาติหรือทำลายสภาพแวดล้อมบ้านเมืองของเรา ต้องขอขอบคุณธนาคารกรุงไทยที่ได้จัดตั้งโครงการ
กรุงไทยยุววาณิชขึ้น เพื่อให้เราได้สืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นผีตาโขน
ที่เป็นหนึ่งเดียวในโลก และขอขอบคุณมากๆ ที่ให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานระบบบริษัทต่างๆ
และหวังว่าจะได้เข้าร่วมกับโครงการดีๆ อย่างนี้อีกทุกปีค่ะ” อารยาทิ้งท้าย
ทั้งนี้โครงการการกรุงไทย ยุววาณิช
จัดขึ้น เพื่อจุดประกายและสร้างเยาวชนที่มีคุณธรรมและมีความรับผิดชอบต่อสังคมตามแนวคิดทุนทางปัญญาไม่มีวันหมด
โดยเน้นให้เยาวชนในระดับมัธยมศึกษาและระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ได้มีเวทีในการฝึกปฏิบัติการดำเนินธุรกิจ
มีความสนใจและตื่นตัวที่จะใช้ความคิด
ความรู้ที่มีอยู่ประกอบกับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วนำมาปฏิบัติจริงให้เป็นรูปธรรม
นางศิริพร นพวัฒนพงศ์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารกลุ่ม กลุ่มการตลาดและสื่อสารองค์กร
สายงานการตลาดและสื่อสารองค์กร ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า โครงการ “กรุงไทย ยุววาณิช”
มีจุดเด่นคือการสนับสนุนให้เยาวชนได้ประกอบธุรกิจจริง
และภายในโครงการทุกโรงเรียนจะต้องแบ่งงบประมาณหรือผลกำไรไปทำกิจกรรมทางสังคมด้วย
นอกจากนี้กิจกรรมที่นักเรียนทำยังสามารถต่อยอดได้จริง
โดยธนาคารจะช่วยบ่มเพาะหลักการทำธุรกิจให้เยาวชนทุกอย่าง
เด็กๆจะรู้ทุกขั้นตอนของการทำธุรกิจ รวมทั้งการทำงานเป็นทีม
ที่จะต้องมีการแบ่งหน้าที่กัน ซึ่งเยาวชนสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในอนาคตเมื่อจบการศึกษามา
อยากทำธุรกิจก็สามารถทำได้เลย
“สิ่งที่ประทับใจและน่าชื่นชม
คือนักเรียนสามารถนำความคิดทันสมัยของพวกเขามาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าต่อทั้งด้านเศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ซึ่งสินค้าที่เด็กๆ นักเรียนได้ทำสะท้อนให้เห็นถึงความหวงแหน
และเห็นคุณค่าภูมิปัญญาของไทยมากขึ้น
โดยรู้จักนำภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและมีราคาได้
นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความห่วงใยในเรื่องสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบชุมชนเขา
โดยรู้จักเอาของเหลือใช้มาแปรรูปเป็นสินค้า ขอให้ทุกภาคส่วนได้ช่วยกันส่งเสริมกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้แสดงออกถึงความสามารถและศักยภาพ
ทั้งนี้กิจกรรมที่ธนาคารกรุงไทยทำที่ผ่านมาตลอด 13 ปี ได้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่าเด็กและเยาวชนเหล่านั้นต่างมีศักยภาพ”
นางศิริพร กล่าว