วาไรตี้
ประชาสัมพันธ์
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้ แสดงบทความทั้งหมด

คำถามเกี่ยวกับโลกและจักรวาล???


1. ถ้าคุณตกลงไปในหลุมดำ



ถ้าคุณเผลอเข้าไปในหลุมดำขนาดเล็ก ร่างกายของคุณจะมีลักษณะใกล้เคียงกับยาสีฟันที่ถูกบีบออกจากหลอด แรงไทดัล (Tidal Forces) มีพลังงานสูงมากในขอบหลุมดำ (เรียกว่า Event Horizon) โดยมันจะยืดร่างกายคุณไปจนถึงอะตอม ราวกับตกลงไปยังก้นเหว





แต่หากคุณตกลงไปในหลุมดำที่ใหญ๋กว่าและแทบไม่มีแรงไทดัล ร่างกายคุณอาจจะรักษาสภาพไว้ได้ โดยทฤษฎี “การยืดของช่วงเวลา (Time Dilation)” ของไอสไตน์ กล่าวว่า ถ้าคุณมองไปข้างหน้าไปยังจุดศูนย์กลางหลุมดำ คุณจะเห็นวัตถุทุกสิ่งที่ตกลงไปในอดีต แต่ถ้าคุณหันไปข้างหลัง คุณจะเห็นทุกสิ่ง ที่กำลังจะตกลงมาในอนาคต ผลก็คือคุณจะเห็นประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจุดนั้นของจักรวาลพร้อมกัน จากกำเนิดบิ๊กแบงไปจนถึงอนาคตอันไกลโพ้นเลยทีเดียว







2. ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอื่นที่ทรงภูมิปัญหาอยู่ร่วมกับเรา



ณ ปัจจุบัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาเพียงชนิดเดียวที่ครองโลกใบนี้อยู่ แต่ถ้าหากโลกมีสายพันธุ์อื่นๆ ที่ทรงภูมิปัญญาไม่แพ้กัน มนุษย์อาจตกเป็นเป้าของการก่อสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุด หลังจากนั้น เมื่อเวลาผ่านไปอีกหลายพันหลายหมื่นปี ถ้ายังไม่มีใครชนะ เราจะเริ่มปรับตัวเข้าหากัน แบ่งทรัพยากรให้กัน และยอมรับการมีอยู่กันและกัน





3. ถ้าโลกใหญ่เป็น 2 เท่า



ถ้าโลกมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่เป็น 2 เท่า หรือประมาณ 16,000 ไมล์ มวลของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า แรงโน้มถ่วงจะมากขึ้นเป็น 2 เท่า พืชและสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ ณ ตอนนี้จะตายเนื่องจากน้ำหนักของตัวเองที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่ล่ำสันแข็งแรงกว่าจะถือกำเนิดขึ้นแทน




4. ถ้าไม่มีอุกกาบาตชนโลก ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์



หากไม่มีอุกกาบาตขนาดมหึมาพุ่งชนโลก ไดโนเสาร์ก็ยังคงยึดครองโลกต่อไปอีกเรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์คาดว่า พวกไดโนเสาร์ที่มีความเฉลียวฉลาดจะอยู่รอด และมาอยู่อาศัยบนพื้นที่ๆ มนุษย์เราอยู่ อ้างอิงจากสมองขนาดใหญ่ของพวกสายพันธุ์ Troodontidae ที่มีลักษณะเหมือนนกนักล่า





5. ถ้าทุกคนบนโลก กระโดดพร้อมกัน



หลายคนอาจเคยมีคำถามนี้ในหัว ถ้าทุกคนบนโลกที่มีประชากรอยู่ราวๆ 7 พันล้านคน ที่มีน้ำหนักเฉลี่ยรวม 363,000 ล้านกิโลกรัม มายืนรวมกันในจุดเดียว และกระโดดสูงจากพื้นราว 30 ซม. ผลที่เกิดขึ้นคือ โลกจะขยับออกไป 1 ใน 100 ส่วนของความกว้างของอะตอมไฮโดรเจน เป็นระยะเวลาเสี้ยววินาทีก็ตาม และเมื่อเราตกถึงพื้น โลกก็จะกลับลงมาที่เดิม





6. ถ้าโลกไม่มีดวงจันทร์



อย่างที่เราทราบกันดีว่าดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าดวงจันทร์หายไป แรงโน้มถ่วงที่เคยสมดุลหายไปเช่นกัน กระแสน้ำที่ขึ้นอยู่กับดวงจันทร์จะวิ่งไปหาแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์แทน คลื่นสึนามิจะถล่มเมืองต่างๆ ตามชายฝั่ง ภูมิอากาศจะเปลี่ยนแปลง ห่วงโซ่อาหารจะถูกทำลาย จริงๆ แล้วถ้าไม่มีดวงจันทร์ สิ่งมีชีวิตอาจไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกด้วยซ้ำไป





7. ถ้ามนุษย์ฉลาดมากขึ้นเป็น 2 เท่า



ถ้ามนุษย์ฉลาดกว่าที่เราเป็นอยู่นี้ 2 เท่า ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า มนุษย์เราจะมีสิ่งเติมเต็มปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น สุขภาพที่ดีขึ้น แต่อาจนับถือศาสนาน้อยลง แต่มนุษย์เรายังคงมีความหลากหลายในด้านบุคลิกลักษณะนิสัย และนั่นจะทำให้สังคมยังคงขัดแย้งกันไม่ต่างจากในทุกวันนี้





8. จะเป็นยังไง ถ้าแมวตายไปจากโลกนี้ทั้งหมด



ฟังดูเหมือนจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อโลกเท่าไหร่ แต่ในความเป็นจริงแมวเป็นสมาชิกที่สำคัญของระบบนิเวศทั่วโลก จากการศึกษาผลกระทบของการย้ายแมวออกจากเกาะเล็กๆ หลายแห่งพบว่า การไม่มีแมวอยู่ โลกจะถูกยึดครองโดยหนูอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เลวร้ายก็คือ พวกหนูเป็นบ่อนทำลายแหล่งพืชพันธุ์อาหาร และแพร่กระจายเชื้อโรคอีกด้วย





9. ถ้าเราเข้าใกล้ขอบทางช้างเผือกมากขึ้น



แม้ว่าในบริเวณขอบทางช้างเผือกจะมีปริมาณธาตุโลหะเพียงแค่ 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับที่ๆ เราอยู่ สิ่งมีชีวิตอาจเติบโตและพัฒนาได้เช่นกัน แต่ด้วยปริมาณแก๊สขนาดมหาศาล เช่นเดียวกับดาวพฤหัสและดาวเสาร์ จะทำให้เราไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ และการขาดดาวเคราะห์แบบนั้น จะทำให้โลกเสี่ยงต่อการชนจากอุกกาบาตมากขึ้นอีกด้วย





10. ถ้าสัตว์ชนิดแรก ดันมี 6 แขน-ขา




อย่างที่เราทราบกันดีว่า สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกถูกพัฒนามาจากพวกสายพันธุ์ที่มีร่างกาย 4 แขน-ขา อย่างปลาเปลี่ยนครีบของตัวเองให้สามารถขึ้นมาบนพื้นดิน แต่ถ้าตอนนั้นดันมี 6 ครีบล่ะ นักวิทยาศาสตร์คิดว่า สิ่งมีชีวิตต่อมาจะอยู่บนพื้นที่ต่ำบนพื้น และอาจจะไม่วิวัฒนาการเป็นสัตว์ที่ฉลาดกว่า





11. ถ้านีแอนเดอธัล ไม่ได้สูญพันธุ์ไป



นีแอนเดอร์ทัล ถือเป็นมนุษย์สายพันธุ์โบราณที่มีร่างกายกำยำล่ำสัน แข็งแรงกว่ามนุษย์ในปัจจุบัน แต่ฉลาดน้อยกว่า นั่นจึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาสูญพันธุ์ไป แต่ถ้านีแอนเดอธัลยังอยู่จนถึงตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่ามีแนวโน้มที่จะมีการผสมข้ามสายพันธุ์กัน จนเกิดเป็นมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาแทน





12. ถ้าคุณกินอาหารเพียงชนิดเดียว




ถ้าคุณกินอาหารเพียงชนิดเดียวไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นข้าว ผักหรือผลไม้ก็ตาม จะนำไปสู่การการล้มเหลวของอวัยวะ การกินเนื้ออย่างเดียวจะผลักดันให้ร่างกายคุณเริ่มกัดกินกล้ามเนื้อตัวเอง การกินอาหารชนิดเดียวไปตลอด จะนำไปสู่ความตายในท้ายที่สุด





13. ถ้าดวงอาทิตย์เล็กลงกว่าเดิม 2 เท่า




ถ้าดวงอาทิตย์มีขนาดเล็กลงกว่าเดิม 2 เท่า แน่นอนว่ามันจะเย็นลงมากและมีสีแดงเข้มมากขึ้น จากดาวแคระเหลือง จะกลายเป็นดาวแคระแดง พื้นที่รอบตัวมันที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตจะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม และโลกจะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะน้ำทั้งหมดจะกลายเป็นน้ำแข็ง และดาวพุธดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า





14. ถ้ายิงปืนในอวกาศ จะเป็นอย่างไร



การยิงปืนในอวกาศที่มีสภาวะเป็นสูญญากาศ สิ่งแรกคือคุณจะไม่ได้ยินเสียงมัน หลังจากนั้นกระสุนและตัวคุณจะพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามผ่านอวกาศไปไม่รู้จักจบจักสิ้น ถ้าคุณยิงปืนในระบบสุริยะ กระสุนคุณอาจถูกดูดไปหาดวงอาทิตย์ และถ้าคุณเล็งปืนแม่นพอจนมันไปอยู่ในวงโคจร คุณอาจลอยมาเจอกับกระสุนตัวเองก็เป็นได้





15. ถ้ากดน้ำในชักโครกพร้อมๆ กัน



ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากดน้ำในชักโครกพร้อมๆ กันทั้งหมดจำนวน 350 ล้านแห่งในสหรัฐอเมริกาพร้อมกัน จะมีแนวโน้มที่เกิดการระเบิดของท่อในบางจุด สาเหตุเพราะการมีน้ำไม่เพียงพอสำหรับการเติมในที่เก็บน้ำทั้งหมด ซึ่งจะทำให้อากาศผ่านเข้าไปในท่อ และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแรงดัน





16. ถ้าโลกนี้ไม่มีฤดูกาล



หากแกนโลกไม่ได้เอียง ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล และมนุษย์ก็จะตกอยู่ภายใต้ความร้อนจากส่วนกลางของโลก พืชเมืองหนาวจะอยู่ไม่ได้ และจะเต็มไปด้วยโรคและศัตรูพืช การปฏิวัติอุตสาหกรรมอาจไม่เกิดขึ้น เทคโนโลยีการเกษตรจะไม่มีการพัฒนา





17. ถ้ามนุษย์ มีดวงตาเหมือนนกอินทรี




หากคุณมีดวงตาเหมือนกับนกอินทรี คุณจะสามารถมองเห็นมดเดินอยู่บนพื้นได้ ในขณะที่คุณอยู่บนตึกชั้นที่ 10 หรือคุณสามารถเห็นสีหน้าของนักร้องบนเวทีคอนเสิร์ตได้อย่างชัดเจน ถึงแม้คุณจะนั่งอยู่แถวหลังสุดก็ตาม วัตถุที่คุณมองเห็นทุกอย่างจะขยายใหญ่ และมีสันสันเจิดจรัส








18. ถ้าเราคนพบสิ่งมีชีวิตต่างดาว



มีความเป็นไปได้ทางทฤษฎีว่าเราอาจจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารหรือทะเลสาบใต้ดินของดวงจันทร์ยูโรป้าของดาวพฤหัส ซึ่งตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จะถูกเก็บรักษาอย่างดีไว้ในห้องวิเคราะห์ปฏิบัติการ ในขณะที่สิ่งมีชีวิตที่มีความก้าวหน้า จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการเข้าถึง ซึ่งทางนาซ่าเองมีขั้นตอนการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวที่จะทำให้แน่ใจว่า มันจะเป็นประโยชน์ต่ออารยธรรมทั้งสองฝ่าย





19. ถ้าเราตกลงไปในปากปล่องภูเขาไฟ



ลาวามีความหนาแน่นที่สูงและความหนืดที่ต่ำ นั่นหมายความว่าคุณจะตกลงไปกระแทกบนพื้นผิวลาวาในปากปล่องภูเขาไฟ มากกว่าที่จะจมลงไป และด้วยความร้อนที่สูงมาก ร่างกายคุณจะปะทุออกมาเป็นเปลวไฟ และสุดท้ายก็จะเกิดเป็นระเบิดขนาดเล็กคล้ายกับน้ำพุ



ที่มา : http://www.soccersuck.com/boards/topic/1479819
http://www.livescience.com/33724-questions-answered.html
http://petmaya.com/19-crazy-questions

คำว่าชาติไทย หรือ สยาม เกิดขึ้นเมื่อไหร่ มีคำตอบ!!




เป็นคำตอบของคุณ ศรีสรรเพชญ์ 

ตอบไว้ที่ กระทู้ ชาติไทยเกิดขึ้นตอน ร.1 ใช่ไหมครับ?
https://pantip.com/topic/36211246/comment4


ยาวมาก แต่ได้ความรู้

คำว่า ไทย ปรากฏหลักฐานมาตั้งแต่สมัยอยุทธยาครับ ส่วนคำว่าสยามไม่ปรากฏคนไทยสมัยโบราณเรียกชนชาติของตนหรือใช้เรียกประเทศอย่างเป็นทางการจนสมัยรัชกาลที่ ๔ ครับ 

คำว่า 'สยาม' คำนี้อย่างว่าเป็นคำที่เรียกในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณซึ่งอาจจะรับมาหรือมีชนอื่นเรียก ซึ่งรากเดิมจิตร ภูมิศักดิ์สันนิษฐานว่า "สยาม" มาจากคำว่า ซาม หรือ เซียม และคำที่คล้ายคลึงกับคำทั้งสองนั้นคือ ซำ หรือ ซัม ซึ่งเป็นภาษาไตเก่าแก่มีความหมายเกี่ยวกับน้ำและที่ราบลุ่ม เนื่องด้วยลักษณะพิเศษของคนไตที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามซำต่าง ๆ ทำให้ชนชาติใกล้เคียงเรียกคนไตว่าพวก ซำ หรือ ซัม"


เข้าใจว่าเมื่อเวลาผ่านไปความหมายก็อาจเปลี่ยน คนก็อาจจะลืมเลือนหมด อย่างที่ลาลูแบร์ที่ว่า "ชื่อ เซียม (siam) นั้น ไม่เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชาวเซียม คำนี้เป็นคำหนึ่งในบรรดาคำที่พวกโปรตุเกสในอินเดียใช้กัน, และก็เป็นคำที่ยากจะค้นหารากเหง้าที่มาของมันได้ พวกโปรตุเกสใช้คำนี้เป็นชื่อเรียกชนชาติ มิใช่เป็นชื่อราชอาณาจักร.....อนึ่งใครก็ตามที่เข้าใจภาษาโปรตุเกสย่อมรู้ดีว่า รูปคำที่โปรตุเกสเขียนคำนี้เป็น Siam บ้างและ Siao บ้างนั้น เป็นคำเดียวกัน และถ้าจะเอาคำโปรตุเกสนี้มาอ่านออกเสียงตามอักขรวิธีของฝรั่งเศสเราแล้วก็ต้องออกเสียงว่า ซียอง (Sions) มิใช่เซียม (Siams); เช่นเดียวกัน เมื่อเขียนเป็นภาษาละติน ก็เรียกชนชาตินี้ว่า ซิโอเน (Siones)

"ชาวเซียมนั้นเรียกตัวเองว่า ไท (Tai), หมายความว่า อิสระ, ตามความหมายของคำในภาษาของเขาซึ่งยังมีความหมายเช่นนั้นมาจนทุกวันนี้ ชาวเซียมมีความภูมิใจที่ใช้คำนี้เช่นเดียวกันกับบรรรพบุรุษของเราซึ่งใช้นามว่า ฟรองซ์ (Franc) เมื่อได้กอบกู้อิสระภาพของชาวกอลให้หลุดพ้นจากอำนาจครอบครองของโรมันมาได้ ผู้ที่รู้ภาษามอญ (Pegu) ยืนยันว่าคำ เซียม ในภาษามอญนั้นแปลว่า อิสระ ถ้าเช่นนั้นบางทีคงจะเป็นไปได้ว่าชาวโปรตุเกสยืมคำนี้มาจากภาษามอญ, น่าจะเป็นว่าได้รู้จักชาวเซียมโดยผ่านชาวมอญอีกที แต่อย่างไรก็ดี นาวารเรต (Navarrete) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรจีน (Traitez Historique du Royaume de la Chine) บทที่ ๑ ตอนที่ ๕ ว่า ชื่อ เซียม, ซึ่งนายนาวาเรตเขียน เซียน (Sian) นั้น, มาจากคำสองคำคือ เซียนหลอ (Sian-lo), แต่หาได้อธิบายไว้ไม่ว่าคำทั้งสองนี้มีความหมายว่ากระไร, ทั้งก็มิได้บอกไว้ว่าเป็นคำภาษาอะไร, ชวนให้เราเข้าใจว่า นายนาวาเรตถือว่า คำทั้งสองนั้นเป็นภาษาจีน..." 

หรือนิโกลาส์ แชรแวสกล่าวว่า "...ชาวต่างประเทศเรียก สยาม(Siam)เป็นนามราชอาณาจักร แต่คนพื้นเมืองรู้จักแต่คำว่า เมืองไทย(Meüang-Thây)หรือไม่ก็เมืองกรุงเทพมหานคร(Meüang-Croung-Thêp-Maanacone)"

คำว่า 'สยาม' จะว่าคนไทยไม่รู้จักเลยคงไม่ใช่ เพราะมีใช้อยู่ในทางสงฆ์ ในงานแต่งวรรณกรรมบาลีหรืออย่างเช่นในหนังสือที่พระแต่งภาษามคธ ก็เรียก 'สยามทิยราชปเทเส'(ประเทศของพระเจ้าแผ่นดินไทยคือสยาม) เข้าใจว่าในสมัยนั้นคำว่าสยามน่าจะเป็นคำโบราณที่ใช้เรียกดินแดนแถบนี้ แต่ไม่ได้ปรากฏใช้งานจริงทางราชการหรือการเรียกทั่วๆไป เมื่อเทียบกับ 'ไทย' หรือ 'อยุทธยา' ที่เรียกตลอดในสมัยกรุงศรีอยุทธยา(แต่คำว่าอยุทธยาจะแพร่หลายกว่า)

ในสมัยอยุทธยาไม่เคยพบหลักฐานว่าเราเรียกตนว่า 'สยาม' อย่างเป็นทางการเพิ่งมาใช้เป็นทางการครั้งแรกในรัชกาลที่ ๔ ครับ
ในอดีตกษัตริย์ก็เรียกว่า 'พระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุทธยา' 'พระมหากษัตราธิราชเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยา' หริอ 'พระมหากษัตรยาธิราชเจ้ากรุงไทย' ไม่เคยเรียกว่า 'พระเจ้าอยู่หัวกรุงสยาม'

ในพระราชกำหนดกฏหมายเก่าของอยุทธยาก็เรียกชนชาติว่า 'ใท' 'ไท' 'ไทย' ไม่ปรากฏเรียกสยาม

ในสนธิสัญญาที่ทำกับฝรั่งเศส พ.ศ.๒๒๓๐ ระบุว่า ใช้ ภาษาไทย ไม่ใช่ ภาษาสยาม




ในสมัยพระเพทราชา และสมัยธนบุรีต่างเรียกแผ่นดินกว่า 'กรุงไทย' ไม่ใช่ 'กรุงสยาม' เรียก 'ชาวไทย่' ไม่เรียก 'ชาวสยาม' ดังในจดหมายเจ้าพระยาศรีธรรมราช(ปาน) และพระราชสาส์นที่พระเจ้ากรุงธนบุรีที่ส่งไปเมืองจีน


แล้วก็เอกสารสมัยสมเด็จพระนารายณ์ถึงพระเพทราชาที่มีต้นฉบับภาษาไทยเหลือ ฉบับฝรั่งเศสจะเขียน 'สยาม' แต่ฉบับภาษาไทยเขียน'ไทย' ไม่ก็เขียน 'กรุงศรีอยุทธยา' ทุกฉบับ ไม่มีคำว่า 'สยาม' ปรากฏในฉบับภาษาไทย

วรรณกรรมเก่าๆของสมัยอยุทธยาก็ใช้คำว่า 'ไทย' ตลอด อย่างวรรณคดียุคตันอยุทธยาอย่างลิลิตพระลอ "...ฝ่ายข้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายข้างลาวประลัย ฝ่ายข้างไทยไชเยศ คืนยังประเทศพิศาล..."

หรืออย่าง นิราศ'ตนทางฝรังงเสษ' ที่เขียนโดยกวีที่ตามคณะทูตไปฝรั่งเศสกับออกพระวิสุทสุนธร(ปาน)ก็มี
'เมื่อจากบันตัม ใจพี่กระสัน รัญจวนกวนใจ
เห็นเมืองนี้เอย ดุจเห็นเมืองไทย แต่นี้จากไป ไกลเมืองแลนา'


จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๔ เริ่มใช้คำว่า 'สยาม' เรียกพระราชอาณาเขตอย่างเป็นทางการในภาษาไทย และเริ่มมีปรากฏใช้คำว่า ‘ชาวสยาม’ ‘กรุงสยาม’ ‘พระเจ้ากรุงสยาม’ ในภาษาไทย ควบคู่ไปกับคำว่า ‘ไทย’ ครับ



แต่ถึงจะใช้คำว่ากรุงไทยหรือคนไทย ที่สะท้อนว่าคนไทยสมัยโบราณมีสำนึกรับรู้ความเป็นชาติอยู่ในรัดับนึ่งว่ากลุ่มคนที่ใช้ภาษาเดียวกันมีวัฒนธรรมเหมือนกันเป็นชาติเดียวกัน แต่ความเป็น "รัฐชาติไทย" ที่ทุกคนในชาติมีสำนึกรับรู้ว่าทุกคนในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันเป็นคนไทยร่วมเลือดเนื้อเดียวกัน และมีสำนึกว่าต้องปกป้องประเทศชาติซึ่งเป็นสถาบันหลักยังไม่น่าจะมีในอดีตครับ

สำหรับสุโขทัยกับอยุทธยา มีหลักฐานว่าทั้งสองใช้ภาษาไทยเหมือนกัน มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ในสมัยแรกๆ ก็ยังไม่ปรากฏว่าทั้งสองดินแดนคิดว่าอีกฝ่ายเป็น "คนไทย" เหมือนกันครับ จึงปรากฏว่ายังมีการทำสงครามกันอยู่แม้จะเป็นรัฐเครือญาติ แม้ว่าต่อมาอยุทธยาจะรวมสุโขทัยไว้ในอำนาจได้ แต่ความรู้สึกแตกต่างนั้นก็มีอยู่ จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าราชวงศ์พระร่วงเดิมคือพระมหาธรรมราชที่ครองเมืองพิษณุโลกกับอยุทธยา ซึ่งกลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กรุงศรีอยุทธยาเสียแก่หงสาวดี

แต่หลังจากนี้เข้าใจว่าความบาดหมางระหว่างเมืองเหนือกับเมืองใต้น่าจะหมดไป เพราะเมื่อพระมหาธรรมราชได้ครองกรุงศรีอยุทธยา สมเด็จพระนเรศวรก็ได้ครองพิษณุโลก จึงไม่น่าจะมีปัญหากันอีก นอกจากนี้เพราะพลเมืองในกรุงถูกกวาดต้อนไปหงสาวดีมาก ทำให้ต้องมีการเทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือลงมาป้องกันพระนครเวลารับศึกหงสาวดี จึงน่าจะทำให้พลเมืองเหนือใต้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันในเวลาต่อมาครับ

ซึ่งเป็นราวสมัยอยุทธยาตอนกลางช่วงสมัยสมเด็จพระนารายณ์ที่พบหลักฐานการเรียกแผ่นดินว่า "กรุงไทย" ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทย (และยังมีลาวและมอญที่นับเป็นประชากรส่วนใหญ่) และใช้ภาษาไทยเป็นหลัก จึงสันนิษฐานว่าคนไทยในสมัยอยุทธยาน่าจะรับรู้ได้ว่าคนที่มีวัฒนธรรมเหมือนกันและใช้ภาษาเดียวกันเป็นคนไทยเหมือนกัน แม้ว่ารูปแบบความเป็นไทยในสมัยนั้นคงยังไม่เหมือนกับ "ประเทศไทย" ในปัจจุบันก็ตาม 

ซึ่งดินแดนที่มีคนไทยเป็นประชากรหลักอาณาเขตที่กรุงศรีอยุทธยามีอำนาจปกครองโดยตรง (ไม่นับประเทศราช) คือ ทางเหนือก็แค่ภาคกลางตอนบนคือบริเวณของรัฐสุโขทัยเดิม อีสานก็แค่แถบนครราชสีมา พิมาย ทางใต้ก็แค่นครศรีธรรมราช พัทลุง 


หัวเมืองอื่นๆ ที่เป็นประเทศราชอย่างล้านนา ล้านช้างบางส่วน รวมถึงภาคอีสานซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน อยุทธยาไม่เคยนับว่าเป็นชาติเดียวกับตนเอง แต่เรียกรวมๆ ว่า "ลาว" เช่นเดียวกับทางรัฐมลายูภาคใต้ที่ถูกเรียกว่า "แขก" ซึ่งก็ถูกเรียกเช่นนี้มาจนสมัยรัตนโกสินทร์ครับ


ล้านนานั้นแม้จะมีหลักฐานว่าเรียกตนเองว่า "ไท" โดยเป็นชาว "ไทยวน" แต่อยุทธยานับเป็น "ลาว" มาโดยตลอด ล้านนาเองก็เรียกดินแดนสุโขทัยและอยุทธยาที่อยู่ใต้ตนเองลงไปว่า "เมืองใต้" เป็นอีกดินแดนหนึ่ง (เหมือนกับที่อยุทธยาเคยเรียกดินแดนของสุโขทัยว่า "เมืองเหนือ") และยังคงเรียกสืบต่อมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ แม้ว่าจะมีความพยายามผนวกหัวเมืองล้านนาเข้ากับการปกครองของสยามในยุคหลัง แต่ก็ยังมีความแปลกแยกในเรื่องเชื้อชาติอยู่ ในสมัยรัชกาลที่ ๗ ก็ยังปรากฏการเรียกคนล้านนาว่า "ลาว" อยู่ครับ

ล้านนาเองน่ามีความใกล้ชิดกับพม่ามากกว่าไทย เพราะว่าเคยตกเป็นประเทศราชของพม่าตั้งแต่ยุคหงสาวดีมาเกือบสองร้อยปี ซึ่งราชสำนักพม่าเองก็ได้ผนวกหัวเมืองของล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพม่าอย่างสมบูรณ์ โดยตั้งให้เชียงใหม่และเชียงแสนเป็นเมืองที่ปกครองโดยข้าหลวง (เมียวหวุ่น-Myowun) ชาวพม่าโดยตรง ก่อนที่ชาวล้านนาจะกบฏต่อพม่าแล้วมาเข้ากับสยามในสมัยธนบุรี ซึ่งหลังจากนั้นก็คงจะมีความใกล้ชิดกับสยามมากขึ้น แต่ก็ยังเป็น "ลาว" ในสายตาไทยสยามอยู่ครับ

ในสมัยอยุทธยาถึงรัชกาลที่ ๔ ยังมีรูปแบบการปกครองดินแดนแบบอาณาจักรโบราณ คือมี "เจ้าเอกราช" หรือ "เจ้าอธิราช" (ในที่นี้คือพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุทธยา) ซึ่งเป็นศูนย์กลาง โดยมีหัวเมืองใต้ปกครองอย่างหลวมๆ มีเจ้าประเทศราชทั้งหลายอย่างล้านนา ล้านช้าง กัมพูชา มลายูซึ่งอยู่ใต้บารมีของเจ้าเอกราช โดยมีพันธะด้วยการถวายบรรณาการดอกไม้เงินดอกไม้ทองหรือองค์ประกัน โดยที่เจ้าเอกราชไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวเรื่องการปกครองหรือธรรมเนียมปฏิบัติภายใน เขตแดนของสยามไม่ได้มีแน่นอนและส่วนกลางยังไม่มีอำนาจในการบริหารหัวเมืองและประเทศราชที่ห่างไกลอย่างเด็ดขาดไพร่หัวเมืองอาจมีความผูกพันกับข้าราชการท้องถิ่นของตนมากกว่าส่วนกลาง

ในสมัยที่รัชกาลที่ ๕ ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ได้เปลี่ยนสถานะจากอาณาจักรแบบโบราณเข้าสู่ "รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์" โดยดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางทั้งในการปกครองอาณาจักรและพุทธจักร เลิกระบบไพร่ทาสเพื่อลดอำนาจขุนนางดึงอำนาจสูงสุดเข้าสู่พระมหากษัตริย์ ผนวกหัวเมืองประเทศราชซึ่งเคยมีอิสระในการปกครองตนเองเข้ามาเป็นหัวเมืองของสยามโดยการตั้งมณฑลเทศาภิบาล ทำให้สถานะของ "ประเทศสยาม" (เข้าใจว่าเพิ่งมีคำนี้ในสมัย ร.๔-๕ จริงๆสมัยนั้นก็มีการเรียก 'ประเทศไทย' แล้ว แต่โดยทางการแล้วยังเป็น 'ประเทศสยาม') พัฒนาขึ้นเป็น "รัฐชาติ" ซึ่งมีเขตแดนชัดเจนและส่วนกลางสามารถมีอำนาจปกครองอย่างทั่วถึง

หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ มณฑลเทศภิบาลถูกยุบเหลือแต่จังหวัดแบบในปัจจุบัน จนมาถึงสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีการออก "รัฐนิยม" เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในชาติด้วยแนวคิดชาตินิยม ทำให้ชื่อประเทศจาก "ประเทศสยาม" กลายเป็น "ประเทศไทย" อย่างในปัจจุบัน ชนชาติทั้งหลายที่อาศัยอยู่ซึ่งตั้งแต่โบราณมีหลากหลายทั้งไทย ลาว มอญ เขมร ญวน จาม จีน ชวา มลายู ฯลฯ จึงถูกเปลี่ยนเป็น "คนไทย" ทั้งหมด ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียงกับ "ประเทศไทย" หรือ "ชาติไทย" ในปัจจุบันที่สุดครับ 


ที่มา : http://www.soccersuck.com/boards/topic/1480226

5 อาชีพเสริมออนไลน์ มีงานประจำก็ทำได้


ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฝืดเคือง ใครๆก็ได้รับผลกระทบทางด้านการเงินไปเสียหมด อีกทั้งยังต้องพบเจอกับปัญหาข้าวยากหมากแพง แต่ในขณะเดียวกันค่าเงินบาทก็เริ่มลดน้อยถอยลง นอกจากการประหยัดเงิน และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงแล้ว อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราอยู่รอดในสังคมอันโหดร้ายได้นั้นก็คือการหาอาชีพเสริม ซึ่งในยุคสมัยที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยระบบออนไลน์นี้ การหาอาชีพเสริมออนไลน์นั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เรามาดูกันว่า 5 อาชีพเสริมออนไลน์ที่พนักงานประจำก็สามารถทำได้นั้น มีอะไรบ้าง

1.พนันออนไลน์
หลายคนอาจจะประหลาดใจว่าการเล่นพนันออนไลน์นั้นสามารถสร้างรายได้ได้จริงหรือ? ซึ่งคำตอบก็คือสามารถทำได้จริง หากเราศึกษาวิธีการเล่น และรู้จักการระงับควบคุมตัวเอง การเล่นพนันออนไลน์ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป ซึ่งปัจจุบันนี้มีเว็บไซต์พนันออนไลน์มากมายเปิดให้ใช้บริการ และมีความปลอดภัยน่าเชื่อถือสูง เช่น M88 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีมาตรฐานและมีระบบการจัดการที่ดี จึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกหลอก หรือโดนเบี้ยวเงินรางวัล

2.ขายของออนไลน์
การเริ่มต้นขายของด้วยสิ่งเล็กๆ และหมั่นเรียนรู้ที่จะทำการขาย จะทำให้เราสามารถเรียนรู้การขายได้มากขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถขายของที่ไม่ได้ใช้แล้วเป็นของมือสองผ่านเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียก็สามารถสร้างทำเงินได้เช่นเดียวกัน

3.ขายภาพถ่ายออนไลน์
งานนี้เหมาะกับคนที่ชอบเป็นงานอดิเรก เพราะนอกจากจะมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว ยังสามารถขายภาพถ่ายเหล่านั้นบนเว็บไซต์ได้อีกด้วย โดยเว็บไซต์ที่ช่วยให้เราขายภาพถ่ายนั้นมีมากมาย เช่น Shutterstock เป็นต้น

4.เขียนบล็อก
คนที่ชอบแชร์เรื่องราวต่างๆ นั้น การเป็น Blogger ถือว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้องอาศัยความอดทนในตอนแรก เพราะกว่าบล็อกจะสร้างเงินได้นั้น อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งการสร้างรายได้จากการเขียนบล็อกนั้นมาจากการโฆษณา เขียนบทความให้แบรนด์ การแปะแบนเนอร์โฆษณาในบล็อก หรือการได้สปอนเซอร์ เป็นต้น

5.รับงานแปลภาษา
สำหรับใครที่มีทักษะทางด้านภาษา นี่คืออาชีพเสริมที่เหมาะสมกับคุณ เพราะมีผู้ประกอบการมากมายที่ต้องการขยายธุรกิจ แต่มีข้อจำกัดทางด้านภาษา จึงทำให้นักแปลภาษาเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก

อัพเดทอันดับมหาวิทยาลัย!! Top 10 มหาวิทยาลัยของโลกประจำปี 2016-2017


การพัฒนาในวงการการศึกษาไม่เคยหยุดนิ่ง มหาวิทยาลัยต่างๆ ระดับโลกต่างก็ผลัดเปลี่ยน หมุนเวียนกันขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนในปี 2016-2017 มหาวิทยาลัยใดจะติดอันดับบ้าง คลิกเลย


Top 10 มหาวิทยาลัยของโลกประจำปี 2016-2017


วันนี้เรามี 10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดโลกแบบ “อัพเดต” มาบอกต่อกัน เผื่อว่ามีใครที่กำลังมองหาโอกาสเข้าไปเรียนยังมหาวิทยาลัยระดับโลกในต่างประเทศ

อันดับ 1 วิทยาลัยเทคโนโลยีแมซซานชูเซท Massachusetts Institute of Technology (MIT) สหรัฐอเมริกา สถาบันการศึกษาที่ยังคงอันดับหนึ่งของโลกตั้งแต่ปีที่ผ่านมา

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยสแตนด์ฟอร์ด Stanford University สหรัฐอเมริกา โดยสแตนด์ฟอร์ดได้ขึ้นมาจากอันดับ 3 ในปีที่แล้ว

อันดับ 3 มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด Harvard University สหรัฐอเมริกา สลับตำแหน่งกับสแตนด์ฟอร์ด เนื่องจากปีก่อนฮาร์วาร์ดครองอันดับ 2

อันดับ 4 มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ University of Cambridge สหราชอาณาจักร อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยชื่อดังที่อยู่อันดับ 3 ในปีก่อน

อันดับ 5 วิทยาลัยเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย California Institute of Technology (Caltech) สหรัฐอเมริกา ที่ยังคงลำดับที่ 5 อย่างมั่นคงตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการรักษามาตรฐานเวิร์ลไวด์ของ M88

อันดับ 6 มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด University of Oxford สหราชอาณาจักร ที่คงลำดับ 6 จากปีที่แล้วเช่นกัน

อันดับ 7 มหาวิทยาลัยลอนดอน UCL (University College London) คงที่จากที่ปีที่แล้ว

อันดับ 8 วิทยาลัยเทคโนโลยี อีทีเอช ซูริค-สวิส ETH Zurich – Swiss Federal Institute of Technology สวิสเซอร์แลนด์ ขึ้นมาจากอันดับ 9

อันดับ 9 วิทยาลัยอิมพีเรียล ลอนดอน Imperial College London สหราชอาณาจักร หล่นจากอันดับ 8 มาเป็นอันดับ 9

อันดับ 10 มหาวิทยาลัยชิคาโก University of Chicago สหรัฐอเมริกา คงที่จากปีที่แล้ว


ส่วนสถาบันการศึกษาในเอเชียที่กำลังถูกจับตามองเป็นอย่างมาก ได้แก่ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมหาวิทยาลัยฟูดาน ในประเทศจีน และมหาวิทยาลัยแห่งชาติ โลโมโนซอฟ ในประเทศรัสเซีย เนื่องจากจีนและรัสเซียกำลังออกมาเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ สำหรับเพื่อนๆ ที่มีโอกาสจะได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ​ ลองศึกษาดูว่าที่ไหนเหมาะสมกับสายวิชาที่ต้องการ เพื่อประโยชน์อย่างสูงสุดในการใช้เวลา และความสามารถทุ่มเทไปกับการเรียน

มาดู! 10 อันดับแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก


กลับมาพบกันอีกครั้งกับเรื่องราวของความเป็นที่สุดในโลกของเราในวันนี้ครับ ยังคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจจากทั่วทุกมุมโลกมาฝากกันเช่นเคย เพราะโลกของเรานั้นยังคงเต็มไปด้วยความรู้ และสิ่งที่น่าสนใจมากกมายจริงๆ วันนี้เราจะพาไปชมกันจัดอันดับแม่น้ำจากทั่วโลกกันครับ มาดูกันว่าแม่น้ำแห่งไหนในโลกที่จะยาวที่สุดในโลก กันเถอะ

 แม่น้ำถือเป็นสิ่งที่มีไว้หล่อเลี้ยงเหล่าสรรพสัตว์รวมไปถึงผู้คนบนโลก เพราะน้ำนั้นถือเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้เลย ทั้งใช้ในการบริโภคและการเกษตร ถ้าบริเวณใดมีแม่น้ำที่แห่งนั้นจะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญาหารมากมาย และแม่น้ำนั้นก็มีอยู่หลายสายด้วยกันทั่วทั้งโลก แต่วันนี้เราจะพาทุกท่านไปชม 10 อันดับของแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก กันครับ มาดูกันว่าจะเป็นแม่น้ำสายไหน และจะยาวซักเท่าไหร่
10 อันดับแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก เรียงลำดับดังนี้

อันดับ 10 แม่น้ำ Lena ประเทศรัสเซีย ความยาว 4,400 กิโลเมตร




อันดับ 9 แม่น้ำ Argun ไหลผ่าน 3 ประเทศ (รัสเซีย จีน และมองโกเลีย) ความยาว 4,444 กิโลเมตร




อันดับ 8 แม่น้ำ Chambeshi ในคองโก ความยาว 4,700 กิโลเมตร




อันดับ 7 แม่น้ำ Irtysh ไหลผ่าน 4 ประเทศ (รัสเซีย คาซัคสถาน จีน และมองโกเลีย) ความยาว 5,410 กิโลเมตร




อันดับ 6 แม่น้ำเหลือง ประเทศจีน ความยาว 5,464 กิโลเมตร





อันดับ 5 แม่น้ำ Selenga ไหลผ่าน 2 ประเทศ (รัสเซียและมองโกเลีย) ความยาว 5,539 กิโลเมตร





อันดับ 4 แม่น้ำ Mississippi ประเทศสหรัฐอเมริกา ความยาว 6,275 กิโลเมตร






อันดับ 3 แม่น้ำแยงซี ประเทศจีน ความยาว 6,300 กิโลเมตร (แม่น้ำที่ยาวที่สุดในจีน)





อันดับ 2 แม่น้ำ Amazon ความยาว 6,400 กิโลเมตร (แม่น้ำที่ยาวที่สุดในอเมริกาใต้)





อันดับ 1 แม่น้ำไนล์ แม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ความยาว 6650 กิโลเมตร






ความรู้เพิ่มน่ะครับ หลายคนนั้นอาจจะมีการเข้าใจผิดว่า แม่น้ำ Amazon เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลกไม่ใช่เหรอ ความจริงก็คือไม่ใช่ครับ จริงๆแล้ว แม่น้ำ Amazon นั้นเป็นแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนความยาวนั้นต้องยกให้ แม่น้ำไนล์ นี่แหละยาวที่สุดในโลกจริงๆ และเป็นแม่น้ำที่เก่าแก่มากๆ ด้วย
ที่มา : soopercool, ที่สุดในโลก.com, wikimedia.org

10 อันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ปี 2015-2016


ขอนำทุกท่านเข้าสู่เรื่องราวของ "การศึกษา" โดยวันนี้ขอเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ "ที่สุด" ในหัวข้อ 10 อันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ปี 2015-2016


10.สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)





ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ค่อนข้างสูง เด็กสวิตจะต้องจบการศึกษาระดับมัธยมตอนต้น จึงจะถือว่าจบการศึกษาภาคบังคับ ส่วนระดับอนุบาลนั้นไม่ถือว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับ จะเข้าเรียนอนุบาลก่อนหรือไม่ก็ได้ กล่าวกันว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นต้นกำเนิดของวิชาการโรงแรม จึงทำให้สาขานี้มีนักเรียนไทยให้ความสนใจไปเรียนต่อมากที่สุดนั่นเอง

9.สาธารณรัฐเช็ก (czech republic) 


แม้จะเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางยุโรป แต่สาธารณรัฐเช็กก็เป็นที่ยอมรับในระดับสากลว่าเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ เรียนฟรีสำหรับการศึกษาภาคบังคับไปจนถึงอายุ 15 ปี หลักการเรียนรู้เน้นความเข้าใจของผู้เรียนเป็นหลักซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนชาวเช็ก ระบบการศึกษาของประเทศมีทั้งสิ้น 5 หน่วยงาน คือ โรงเรียนอนุบาล, ประถมศึกษา, มัธยมศึกษา, วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย

8.เบลเยี่ยม (Belgium) 


เบลเยี่ยมเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาเป็นอย่างมาก เน้นในเรื่องของมาตรฐานการศึกษา และพยายามเปิดโอกาสให้ประชาชนในประเทศทุกคนมีสิทธิทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน จึงไม่มีการสอบเข้า และไม่เก็บค่าเล่าเรียนในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมไปถึงความหลากหลายของทุนการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยอีกด้วย ระบบการเรียนการสอนจึงมีความแตกต่างตามภูมิภาคทั้งภาษาดัตช์ เยอรมัน และฝรั่งเศส

7.อิสราเอล (Israel)


อิสราเอลถือว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ค่อนข้างสูงประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านของการศึกษา ในทัศนะคติของคนอิสราเอลจะถือว่าการศึกษาถือเป็น “มรดกที่ล้ำค่า” การศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี (ตั้งแต่อายุ 5-16 ปี) และรัฐได้จัดการศึกษาฟรีจนถึงอายุ 18 ปี โดยการศึกษาส่วนใหญ่ในประเทศจะใช้เป็นภาษาฮินดีและภาษาอาหรับเป็นหลัก
6.นิวซีแลนด์ (New Zealand)


ในปี 2014-15 รัฐบาลของประเทศนิวซีแลนด์ได้ทุ่มงบประมาณเพื่อพัฒนาในด้านการศึกษากว่า 13,183 ล้านดอลลาร์นิวซีแลนด์ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมประเทศนิวซีแลนด์ถึงได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่ามีระบบการศึกษาที่ดีและมีมาตรฐาน ผลการสอบ PISA ในด้านการอ่านและวิทยาศาสตร์ อยู่ในอันดับ 7 ในขณะที่คณิตศาสตร์อยู่ในอันดับที่ 13 จากประเทศสมาชิกทั้งหมด 34 ประเทศ
5.ออสเตรเลีย (Australia)


ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่ใช้ในระบบการศึกษาของประเทศออสเตรเลีย และยังมีสถิติด้านการศึกษาที่น่าสนใจอีกคือ ประชากรชาวออสเตรเลียมีอัตราการรู้หนังสือเบื้องต้นในระดับประถมเกือบ 2 ล้านคน รวมแล้วมีอัตราการรู้หนังสือถึง 99% และการประเมินการศึกษาของประเทศออสเตรเลีย PISA ในส่วนของวิชาการอ่าน, วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ อยู่ในอันดับที่ 6, 7 และ 9 ตามลำดับ ประเทศออสเตรเลียยังเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับนักศึกษาไทยที่นิยมไปเรียนต่อมากที่สุดอีกด้วย
4.สหรัฐอเมริกา (USA)


การศึกษาภาคบังคับนักเรียนอเมริกันทุกคนจะได้รับสิทธิเรียนฟรีจนกระทั่งถึงเกรด 12 หรือจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย บรรยากาศการศึกษาในห้องเรียนของชาวอเมริกันนั้น นักศึกษาจะต้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น โต้เถียงเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง มีส่วนร่วมในการสนทนา และนำเสนองานของตน ซึ่งนักศึกษาชาวต่างชาติส่วนใหญ่เห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเรียนเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าตื่นใจที่สุดของระบบการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา
3.รัสเซีย (Russia)


รัสเซียเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษามาตั้งแต่ยุคสหภาพโซเวียต ชาวรัสเซียส่วนมากจะสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกคน และยังเป็นนักอ่านหนังสือพิมพ์มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก มีการศึกษาหาความรู้กันอย่างจริงจัง ทำให้อัตราการรู้หนังสือของประชากรประเทศรัสเซียคิดเป็น 100% เต็ม อีกทั้งมีวิชาการ ความรู้และเทคโนโลยีเป็นของตนเองมาเป็นเวลานาน รวมถึงค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาก็นับว่าไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อีกด้วย
2.เยอรมนี (Germany)


เยอรมันเป็นประเทศหนึ่งในกลุ่ม OECD ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็ก ๆ อยู่ในระดับสูงทั้งในระดับมัธยมศึกษา และในระดับอุดมศึกษา โดยการศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6-18 ปี โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เยอรมัน หันมาพัฒนาการศึกษา และการวิจัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรวมประเทศ มีมหาวิทยาลัยเกือบ 120 แห่ง
1.เดนมาร์ก (Denmark)


ประเทศเดนมาร์ก กฎหมายบังคับการศึกษาแต่ไม่บังคับการไปโรงเรียน เด็กทุกคนจะต้องไปเรียนเมื่อมีอายุครบ 7 ปี การศึกษาภาคบังคับ 9 ปี ไม่รวมชั้นเด็กเล็ก ระบบการศึกษาของเดนมาร์กจะให้ความสำคัญกับการแนะแนวมาก เพื่อให้เด็กทุกคนพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะกับศักยภาพของตนเอง และเด็ก ๆ ยังสามารถเลือกการศึกษาและโรงเรียนของตนได้อีกด้วย

ที่มา : manager.co.th ข้อมูลจาก : mbctimes.com, toptenthailand.com/
loading...

Facebook

นิยม

บทความ

loading...