‘ชิน ชินวุฒ’ น้ำตาร่วง ห่วงครอบครัว หลังรู้ต้องเป็นทหาร – เตือนรุ่นน้องให้เรียน รด.
หลังจากเมื่อช่วงเช้านี้ที่ ชินวุฒ อินทรคูสิน หรือชิน นักร้องชื่อดัง วัย 27 ปี ได้เดินทางมาตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารประจำการ ที่โรงเรียนวัดน้อยนพคุณ สถานที่ทำการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารประจำการ ประจำปี 2559 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
โดยหลังจากที่ชินยื่นใบรับรองแพทย์และฟิล์มเอ็กซเรย์แล้ว ทางประธานกองตรวจเลือกวินิจฉัยว่าไม่ขัดต่อการเข้ารับราชการทหาร เนื่องจากหนุ่มชินไม่มารายงานตัวตามหมายเรียกทหารกองเกินประจำปี 2556 จึงมีสิทธิ์ที่จะรับราชการทหาร ทำให้นักร้องหนุ่มถูกเกณฑ์เข้ารับใช้ชาติทันที อยู่ในสังกัดมณฑลทหารบก ที่11 ผลัด1 เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป
ทั้งนี้ชิน ชินวุฒ ให้สัมภาษณ์ว่า “ผมรู้อยู่แล้วว่าถ้าเป็นประเภทที่ 2 ยังไงก็ต้องเป็น เพราะอยู่ในบัญชีหลบเลี่ยงอยู่แล้ว ที่มายื่นคือเป็นจำพวก 3 แต่อยู่ที่คุณหมอว่าเค้าจะวินิจฉัยยังไง ซึ่งวินิจฉัยมาว่าไม่ได้ขัดต่อการฝึกซ้อมก็จะอยู่ในจำพวกที่ 2 เลยต้องเป็นเลย”
“ความรู้สึกแรก เหวอครับ เฮ้ย! เป็นเหรอว่ะเนี่ยในใจไม่ได้กังวล การเป็นก็เป็นสิ่งดี เพราะว่าจริงๆ ครอบครัวทั้ง 2 ฝั่งก็เป็นทหาร ลุงก็เป็นนายพลของนาโต้ที่ฝรั่งเศส สำหรับผมก็เติบโตมากับครอบครัวทหารอยู่แล้ว ฝั่งคุณพ่อ คุณทวดก็เป็น ก็ไม่ได้คิดอะไรกับการเป็นเท่าไหร่ ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี ถ้าจำเป็นจะต้องเป็นก็เป็น แต่สิ่งที่กังวลคือแม่กับน้อง
ก็มีเวลาเดือนเดียวในการเคลียร์ทุกอย่าง เพราะเข้าเดือนพ.ค. ทบ.1” ชินกล่าว
ก็มีเวลาเดือนเดียวในการเคลียร์ทุกอย่าง เพราะเข้าเดือนพ.ค. ทบ.1” ชินกล่าว
พร้อมบอกด้วยว่า หลังจากทราบเรื่องก็ได้โทรศัพท์บอกคุณแม่ ซึ่งคุณแม่ก็ทำใจมาแล้ว เพราะได้คุยกันตั้งแต่ปี 2558 ว่าอาจจะได้เป็น แต่นี่เหมือนเป็นการยืดเวลามาอีก 1 ปี ถึงอย่างนั้นพอโทรศัพท์บอก แม่ก็เหวอเพราะอยู่ด้วยกันดีๆ อีกเดือนเดียวก็เป็นทหารแล้ว
“ห่วงเพราะเป็นเสาหลักของบ้าน (น้ำตาตลอ) คือเป็นคนที่หารายได้มากที่สุดในบ้าน พอไม่มีเราก็สบายน้อยลง คือถ้าจะเป็นก็เป็น ก็ทำไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องเดียวคือเขาจะอยู่ยังไง ไม่ได้วางแผนไว้ไม่ได้คิดว่าจะเป็น แต่ว่า (น้ำตาไหล) วางแผนยังไงไม่รู้ แต่รู้ว่าต้องทำ งานก็ต้องแคนเซิล มีละครที่เขามาอีก 2 เรื่อง แล้วก็หนังอีกเรื่องหนึ่ง งานเพลงยังครับ แต่ว่าก็ต้องคุยกับแกรมมี่ ที่ร้องไห้ไม่ใช่เพราะไม่อยากเป็น เป็นห่วงที่บ้านเท่านั้นเลย ถ้าไม่ได้เป็นเสาหลักของครอบครัว ผมไม่สนเลย กังวลเรื่องนี้” ชินกล่าวทั้งน้ำตา
ก่อนจะว่า “ก็เดี๋ยวคงไปคุยแม่กับน้อง ก็ขอบคุณแฟนๆ ที่ให้กำลังใจเสมอ คือจริงๆ เราก็รับตามกฎหมายทุกอย่างแล้วก็ถือว่าเป็นตัวอย่าง ว่าเราก็ไม่ได้หนี ไม่ได้อะไร เราก็พร้อมที่จะเป็น ก็เรื่องเดียวที่กังวลตอนนี้เลย ส่วนเรื่องฝึกผมไม่ค่อยกลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่งานก็เท่ากับเงิน เท่ากับครอบครัว”
อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงเรื่องงานของโซฟี – อัปสรสิริ น้องสาวที่เป็นนักแสดง ซึ่งน่าจะช่วยแบ่งเบาภาระในบ้านได้ ชินกล่าวว่า “น้องก็มีงาน มีเรื่อยๆ แต่น้องก็ยอดเยี่ยมสิ่งที่น้องเป็น ก็ทำเต็มที่ แต่ในบทบาทของเราเป็นช่องหลักของบ้าน ที่ผ่านมา แม่กับน้องยอดเยี่ยมสิ่งที่เขาทำ เรื่องรถ บ้าน ค่าใช้จาย ซึ่งมันสูง อยู่กัน 3 คน เราก็เป็นพี่มาตลอด ซึ่งรายได้หายอยู่แล้ว 2 ปี เดาไม่ถูกว่าหายเท่าไหร่ แต่ 7 หลักอยู่แล้ว”
“ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะวางแผนยังไง เป็นสิ่งที่ในเวลาเดือนหนึ่งก่อนเข้ารับราชการ เป็นสิ่งที่ต้องวางแผนกันก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นเราก็แค่รับรู้ รับมือแล้วก็ปรับตัว ซึ่งกังวล วันนี้วันที่ 4 แล้ว 26 วัน แต่เอาว่ะถือเป็นบทเรียนชีวิตครั้งหนึ่งที่ผมถือว่าคุ้มอ่ะ วันนี้เราก็รับผิดชอบในสิ่งที่เราละเลยมา ครั้งที่มาแล้วหลีกเลี่ยงเราละเลยเอง ก็ต้องรับผิดชอบ”
“ส่วนที่ว่าทำไมไม่สมัคร ผมว่าอย่าคุยถึงอดีต ถ้าคิดเหมือนไปโทษตัวเองเพิ่ม สิ่งสำคัญคือจากตรงนี้เป็นต้นไป ทำไง สิ่งที่พี่ถามทุกอันคือสิ่งที่ผมถามตัวเอง ผมไม่ได้มีคำถามเลยจะทำไงว่ะที่เราจะไม่เป็น ไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย ที่คุยโทรศัพท์คือนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเราจะปรับตัวไปต่อยังไง ดีครับเป็นหลักฐาน เป็นบทเรียน ก็เป็นข้อหนึ่งที่ดีที่เราก็ยืดอกรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
ทั้งนี้ชินยังได้ฝากถึงน้องๆ ชายไทยทุกคน ว่า “เรียน รด.ให้จบ ง่ายสุด คือคุณจะไม่รู้เลยว่าตอนที่ไม่ได้เรียนรด. คุณอาจจะพลาดแค่ 3 ปี ซึ่งอาจเป็น 3 ปีที่ไม่ได้อะไร เพราะมันก็แปบเดียวจบ แต่ถ้าคุณมาเจอชีวิตจริง แล้วคุณเป็นเสาหลักของบ้านแล้ว คุณต้องมารับตรงนี้ 2 ปี อันนี้รับรองว่าคนละความรู้สึกกับการไม่เรียนรด.แน่นอน แต่ถ้าเกิดขึ้นก็รับมือกับมันแค่นั้นเอง”
อย่างไรก็ชินกล่าวถึงการต้องรับใช้ชาติในครั้งนี้ว่า “ตื่นเต้นนะ คือผมว่าเราไม่ได้อยู่ในยุคที่ออกสงครามไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วงมาก ซึ่งผมว่าเราก็น่าที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับเขาได้ เราหนึ่งคนถ้าในจฐานะที่เป็นทหาร ถ้าในฐานะถือปืนมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเรา 1 คนสามารถพูดได้กับคนหมู่มากอันนี้มันอีกเรื่องหนึ่งเลย”
“เพราะฉะนั้นก็รับใช้ในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำ แล้วก็อีก 2 ปีนี้จะได้เรียนรู้อะไร ผมว่าจะได้เรียนรู้ชีวิตอย่างสูงเลย เดี๋ยวก็รู้อีก 2 ปีเจอกัน” ชินกล่าวในที่สุด
ที่มาข่าวภาพ : http://www.matichon.co.th/news/94217
ที่มาข่าวภาพ : http://www.matichon.co.th/news/94217