นายโคบาลกับพระพุทธเจ้า
"เรื่องนี้ ดีมาก "
.....
ณ ครั้งพุทธกาล...
พระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่กลางป่า ช่วงปลายฝน ต้นหนาว มีชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพ เป็นคนเลี้ยงโค (นายโคบาล) ได้มาพบเข้ากับพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ทราบว่าเป็น พระพุทธองค์ จึงเข้าไปถามว่า ขอโทษขอรับ ท่านเป็นใคร
.....
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสตอบว่า เรา ตถาคต
......
นายโคบาล ตกใจ บอกว่าพระองค์มานั่งอยู่กลางป่าได้อย่างไร พระองค์มีความสุขไหม
......
พระพุทธองค์ จึงทรงตรัสตอบว่า เธอรู้ไหม ในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ฉันเป็นหนึ่งในนั้น
....
นายโคบาลได้ยินพระดำรัสเช่นนั้น ถึงกับตัวชาและมีความปิติ ด้วยอำนาจของพระพุทธองค์
.....
พระพุทธองค์ ตรัสถามต่อว่า เธอกำลัง ทำอะไร
.....
กระหม่อมฉัน ตามหาวัว ขอรับ
วัว กี่ ตัว
.....
๑๖ ตัว ขอรับ
แล้วตอนนี้ วัว อยู่ไหน
.....
วัวหาย ทั้งหมดเลยขอรับ
เธอ คิดว่าฉันมีวัวไหม
ไม่มี ขอรับ
คน ไม่มีวัวอย่างฉัน มีโอกาสทุกข์เพราะ ไม่มีวัวไหม
ไม่มี ขอรับ
เห็นไหมว่า คนมีวัว ทุกข์เพราะวัว คนไม่มีวัว ก็ไม่ทุกข์
.....
พระพุทธเจ้า ตรัสถามต่อ
ในเมืองนี้ ใครมีอำนาจ มีเงินทองมากที่สุด
พระเจ้าพิมพิสาร ขอรับ
พระเจ้าพิมพิสาร มีอำนาจเงินทองที่สุดในเมือง มานั่งเล่นกลางป่าอย่างฉัน ได้ไหม
.....
ไม่ได้ ขอรับ
ก็มีอำนาจ เงินทองขนาดนั้น ทำไมมานั่งเล่นอย่างฉันไม่ได้
ถ้าพระเจ้าพิมพิสาร ออกมานั่งเล่นชายป่า อย่างพระองค์ ก็จะถูกปฏิวัติได้ขอรับ
.....
เห็นไหม ระหว่างฉันกับพระเจ้าพิมพิสาร ใคร มีความสุขกว่ากัน
พระพุทธองค์ ขอรับ
.....
พระพุทธศาสนา สอนว่า วิถีแห่งความสุขไม่ได้อยู่ที่ความมี หรือ ความจน อยู่ที่เรา ยินดีในสิ่งที่มี รุ้จักพอดีในสิ่งที่ได้ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว
*************************
โค 16 ตัว ที่ทุกคนเลี้ยงไว้ มีตั้งแต่ พระราชา เศรษฐี ประชาราษฎร์ทั่วไป พ่อค้า ฯลฯ
.....
พระพุทธเจ้าไม่มี พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี พระอรหันต์ไม่มี พระอนาคา พระสกิทาคา พระโสดาบัน มีน้อย
ปุถุชนทั่วไปมีมากหนาแน่น ... เรียกว่า # อุปกิเลส16
....
อุปกิเลส (อ่านว่า อุปะกิเหลด) แปลว่า ธรรมชาติที่ทำให้ใจเศร้าหมอง, เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง หมายถึง สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่แจ่มใส ทำให้ใจหม่นไหม้ ทำให้ใจเสื่อมทราม กล่าวโดยรวมก็คือสิ่งที่ทำให้ใจสกปรก ไม่สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง
.....
อุปกิเลส แสดงไว้ 16 ประการคือ
......
ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
ความพยาบาท
ความโกรธ
ความผูกเจ็บใจ
ความลบหลู่บุญคุณ
ความตีเสมอ
ความริษยา
ความตระหนี่
ความเจ้าเล่ห์
ความโอ้อวด
ความหัวดื้อถือรั้น
ความแข่งดี
ความถือตัว
ความดูหมิ่น
ความมัวเมา
ความประมาทเลินเล่อ
ดังนี้แล
ที่มา http://www.soccersuck.com/boards/topic/1324080
.....
ณ ครั้งพุทธกาล...
พระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่กลางป่า ช่วงปลายฝน ต้นหนาว มีชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพ เป็นคนเลี้ยงโค (นายโคบาล) ได้มาพบเข้ากับพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ทราบว่าเป็น พระพุทธองค์ จึงเข้าไปถามว่า ขอโทษขอรับ ท่านเป็นใคร
.....
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสตอบว่า เรา ตถาคต
......
นายโคบาล ตกใจ บอกว่าพระองค์มานั่งอยู่กลางป่าได้อย่างไร พระองค์มีความสุขไหม
......
พระพุทธองค์ จึงทรงตรัสตอบว่า เธอรู้ไหม ในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ฉันเป็นหนึ่งในนั้น
....
นายโคบาลได้ยินพระดำรัสเช่นนั้น ถึงกับตัวชาและมีความปิติ ด้วยอำนาจของพระพุทธองค์
.....
พระพุทธองค์ ตรัสถามต่อว่า เธอกำลัง ทำอะไร
.....
กระหม่อมฉัน ตามหาวัว ขอรับ
วัว กี่ ตัว
.....
๑๖ ตัว ขอรับ
แล้วตอนนี้ วัว อยู่ไหน
.....
วัวหาย ทั้งหมดเลยขอรับ
เธอ คิดว่าฉันมีวัวไหม
ไม่มี ขอรับ
คน ไม่มีวัวอย่างฉัน มีโอกาสทุกข์เพราะ ไม่มีวัวไหม
ไม่มี ขอรับ
เห็นไหมว่า คนมีวัว ทุกข์เพราะวัว คนไม่มีวัว ก็ไม่ทุกข์
.....
พระพุทธเจ้า ตรัสถามต่อ
ในเมืองนี้ ใครมีอำนาจ มีเงินทองมากที่สุด
พระเจ้าพิมพิสาร ขอรับ
พระเจ้าพิมพิสาร มีอำนาจเงินทองที่สุดในเมือง มานั่งเล่นกลางป่าอย่างฉัน ได้ไหม
.....
ไม่ได้ ขอรับ
ก็มีอำนาจ เงินทองขนาดนั้น ทำไมมานั่งเล่นอย่างฉันไม่ได้
ถ้าพระเจ้าพิมพิสาร ออกมานั่งเล่นชายป่า อย่างพระองค์ ก็จะถูกปฏิวัติได้ขอรับ
.....
เห็นไหม ระหว่างฉันกับพระเจ้าพิมพิสาร ใคร มีความสุขกว่ากัน
พระพุทธองค์ ขอรับ
.....
พระพุทธศาสนา สอนว่า วิถีแห่งความสุขไม่ได้อยู่ที่ความมี หรือ ความจน อยู่ที่เรา ยินดีในสิ่งที่มี รุ้จักพอดีในสิ่งที่ได้ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว
*************************
โค 16 ตัว ที่ทุกคนเลี้ยงไว้ มีตั้งแต่ พระราชา เศรษฐี ประชาราษฎร์ทั่วไป พ่อค้า ฯลฯ
.....
พระพุทธเจ้าไม่มี พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี พระอรหันต์ไม่มี พระอนาคา พระสกิทาคา พระโสดาบัน มีน้อย
ปุถุชนทั่วไปมีมากหนาแน่น ... เรียกว่า # อุปกิเลส16
....
อุปกิเลส (อ่านว่า อุปะกิเหลด) แปลว่า ธรรมชาติที่ทำให้ใจเศร้าหมอง, เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง หมายถึง สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่แจ่มใส ทำให้ใจหม่นไหม้ ทำให้ใจเสื่อมทราม กล่าวโดยรวมก็คือสิ่งที่ทำให้ใจสกปรก ไม่สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง
.....
อุปกิเลส แสดงไว้ 16 ประการคือ
......
ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
ความพยาบาท
ความโกรธ
ความผูกเจ็บใจ
ความลบหลู่บุญคุณ
ความตีเสมอ
ความริษยา
ความตระหนี่
ความเจ้าเล่ห์
ความโอ้อวด
ความหัวดื้อถือรั้น
ความแข่งดี
ความถือตัว
ความดูหมิ่น
ความมัวเมา
ความประมาทเลินเล่อ
ดังนี้แล
ที่มา http://www.soccersuck.com/boards/topic/1324080
เรือนจำ !! ที่โหดที่สุดในประวัติศาสตร์
กล่องไม้มรณะ : ในช่วงปี 1920 นักโทษมองโกเลียจะต้องพบกับความโหดร้ายทารุณเมื่อถูกขังในกล่องไม้ขนาด 3?4 ฟุต กลางแดดกลางฝนเป็นเวลานานนับปี โดยมีเพียงส่วนศีรษะและแขนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้โผล่พ้นกล่องได้ นักโทษจะต้องใช้ชีวิตในกล่องแห่งนี้ ทั้งกิน นอนและขับถ่าย เรียกได้ว่ามีสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายสุดขีด
ถึงแม้ว่านักโทษจะสามารถหนีออกจากกล่องไม้มรณะได้ สุดท้ายก็ต้องพบกับเขาวงกตอันซับซ้อนที่มีกำแพงไม้
สูง 15 ฟุตเหนือพื้นดินที่ถูกเหลาปลายยอดจนแหลมคมขวางทางเอาไว้อยู่ดี
เรือนจำใต้ผืนดินของโรมัน : โรมันเป็นชนชาติแรก ๆ ที่เริ่มใช้คุกหรือเรือนจำไว้สำหรับคุมขังนักโทษ ‘Mamertine’
คือคุกใต้ดินที่ถูกสร้างขึ้นราว 640 ก่อนคริสตกาล มันอยู่ร่วมกับทางเดินน้ำทิ้งใต้ดินของเมืองจากความลึกเหนือพื้นดิน 12 ฟุต สถานที่แห่งนี้คือแหล่งรวบรวมนักโทษที่รอการถูกประหารชีวิต พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตในสถานที่อันมืดมิด สกปรกและโสโครก เพื่อรอวันถูกพิพากษา
เรือนจำลอยน้ำ : ในช่วงการปฏิวัติอเมริกา เรือ ‘HMS Jersey’ ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นเรือนจำลอยน้ำที่กล่าวกันว่าโหดร้ายที่สุดในยุคนั้น เรือลำนี้ถูกเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า ‘HMS Hell’ หรือเรือนรก บรรจุนักโทษได้สูงสุด
ราว 1,100 คน
นักโทษทั้งหมดจะถูกขังรวมกันในกรงเหล็กใต้ท้องเรือท่ามกลางความมืดและความร้อน พวกเขาต้องเบียดเสียด
อยู่ในกรงด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า มีนักโทษจำนวนมากที่เสียชีวิตในเรือนรกลำนี้เนื่องจากความเจ็บป่วย
และการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง
ศพของนักโทษบางคนก็ถูกโยนทิ้งทะเลหรือนำไปฝังแบบหยาบ ๆ ใกล้ชายฝั่ง หลังการปฏิวัติสิ้นสุดลง
กล่าวกันว่ามีผู้เสียชีวิตราว 12,500 คนจากเรือนรกลำนี้
คุกโหดที่แอนเดอร์สันวิลล์ : แคมป์ ซัมเตอร์ ที่แอนเดอร์สันวิลล์ ในรัฐจอร์เจียถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายสมาพันธรัฐอเมริกา
ที่ต้องการปลดแอกตัวเองจากฝ่ายรัฐบาลกลาง
ดูผิวเผินมันเหมือนเป็นป้อมค่ายสำหรับสู้รบ แต่แท้จริงแล้วมันคือคุกขนาดใหญ่ที่ใช้คุมขังนักโทษราว 33,000 คน
ที่ต้องอยู่อย่างแออัดภายในคุกที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลเน่าเหม็นเนื่องจากพื้นที่อันคับแคบทำให้ต้องขุดหลุมฝังศพ
กันภายในคุก ซึ่งกล่าวได้เป็นฝันร้ายของนักโทษในคุกแห่งนี้เลยทีเดียว
นอกจากนี้ หากนักโทษคนใดคิดหลบหนีจะต้องถูกระดมยิงจากทั่วทุกทิศทางโดยป้อมค่ายที่มีทหารติดอาวุธ
ประจำการอยู่ กล่าวได้ว่าคุกแห่งนี้คือสถานที่แห่งความสิ้นหวังอย่างแท้จริง
คุกโหดสงครามเวียดนาม : นี่คือคุก ‘Hoa Lo’ สถานที่สำหรับคุมขังเชลยสงครามชาวอเมริกันของเวียดกง
ทหารอเมริกันมากมายเรียกคุกแห่งนี้ว่านรก
ในช่วงสงคราม เหล่าเชลยศึกที่เป็นทหารและนักบินของกองทัพสหรัฐที่ถูกเวียดกงจับตัวได้จะถูกส่งมายังคุกแห่งนี้
เพื่อทรมานและหาข่าว นักโทษจะถูกขังอยู่ในอาคารภายในซึ่งล้อมรอบด้วยกำแพงสูงและลวดหนาม
นอกเหนือจากการทรมานเชลยศึกอเมริกันแล้ว เวียดกงยังใช้สถานที่แห่งนี้ในการล้างสมองและความเชื่อของเหล่า
เชลยศึกชาวอเมริกันให้คล้อยตามความคิดแบบคอมมิวนิสต์ เพื่อใช้เชลยเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการทำลายความ
เชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐ
ที่มา newsupdate.todayza.com
เรื่องเล่า ม.บรูพา
สถานที่เกิดเหตุ : หอพักหญิงตรงลานเกือกม้า
หอพักหญิงชวนขนหัวลุกนี้ มีเพื่อนสนิทที่เจอผีเข้าจังๆ ที่ห้อง 516 เตียง 7 เป็นเตียงชั้นบน (เตียง 2 ชั้น)
เวลาเกิดเหตุอยู่ในช่วงตะวันใกล้โพล้เพล้แล้ว เพื่อนนอนหลับ แต่ระหว่างที่สะลึมสะลือจะตื่น
ก็เห็นผู้หญิงไต่เตียงขึ้นไปหา ผู้หญิงที่เห็นใส่ชุดดำ ไว้ผมยาว กระโดดมาทับตัวเพื่อน ดิ้นไม่ได้เลย
ทั้งยังบีบคอ จนต้องท่องนโมหลายจบ แล้วเขาก็หายไปในที่สุด พอสะดุ้งตื่นมาจริงๆ ไม่เจอใครในห้อง
แล้วเตียงนั้นก็ไม่มีใครยอมมานอนอีกเลย
ตึกภาพพิมพ์ (ปัจจุบันโดนทุบทิ้งไปแล้ว) ตึกภาพพิมพ์ ซึ่งเมื่อก่อนมีคนโดนฆ่าแล้วถูกนำศพมาทิ้งไว้ที่บ่อนข้างๆ ตึก
ในตอนนั้นหลายคนนึกว่าเป็นหุ่นของทางคณะศิลปกรรมนำมา ใช้โปรโมตละครเวที
จนเวลาผ่านไป 2-3 วัน ศพเริ่มเน่าและอืดอยู่ในบ่อน้ำ จึงได้รู้ความจริงกันว่าไม่ใช่หุ่นธรรมดา
ตึกวิศวกรรมศาสตร์ ชั้น 8 ตามที่ร่ำลือกันมาว่ามีอาจารย์ เสียชีวิตอยู่ในห้องดรอว์อิ้ง
ขณะที่กำลังสำรวจนั้น อยู่ดีๆ ลิฟต์ก็เปิดออกและปิดในทันทีพร้อมกับขึ้นไปที่ชั้น 8 !!
โดยที่ยังไม่มีใครกดลิฟต์ในชั้นใดๆ ทั้งสิ้น ตอนนั้นเพื่อนทุกคนก็ถอยกรู ขนลุก ปรากฏว่าไม่มีใครอยาก ขึ้นไปอีกเลย
ห้องเซรามิก คณะศิลปกรรมศาสตร์ เล่ากันมาจากรุ่นพี่ที่มีสัมผัสที่ 6 คนหนึ่งว่า...
เห็นผู้หญิงแต่งชุดไทยใส่ชฎารำอยู่ข้างในห้อง ตอนแรกก็คิดว่าเด็กเรียนรำไทยมาฝึกซ้อมที่นี่กันหรือ เปล่า
พอตอนเช้าเขาไปถามได้คำตอบว่าไม่มี และเป็นประจำที่หน้าห้องนี้ดึกๆ หมาจะหอนกันเกรียวเลย
ที่หอ 50 ปี เทา-ทอง มีนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากประเทศจีนกระโดดตึกลงมาเสียชีวิต
เล่ากันว่าเธอกลุ้มใจหลายๆ เรื่อง ก่อนจะโดดก็กินตะปูเข้าไปด้วย
หลังจากนั้นมีคนทรงมาเชิญวิญญาณเธอไป แต่เธอไม่ยอมไป ต่อมารุ่นน้องเด็กปี 1 ที่ต้องอยู่หอนี้
ตอนกลางคืนมักจะมีเรื่องหลอนๆ เช่น เห็นประตูเปิด-ปิดเอง หรือบางคืนก็มีเด็กผู้หญิงที่ตายยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง
หรือในบางวันเด็กผู้หญิงคนนี้ก็โดดขึ้นๆ ลงๆ ตึกอยู่อย่างนั้น…ทั้งคืน
แต่ก็ยังมีอีกกระแสถึงข่าวหรือเรื่องเล่าของนักศึกษาสาวชาวจีนคนนี้ จากเพื่อนที่เคยใกล้ชิดว่า
เรื่องหอ 50 ไม่มีอะไรน่ากลัวคับ ถ้าฟังเรื่องจริงออกจะน่าเศร้าซะมากกว่า ที่คนประเทศเดียวกันกลับทำกันได้ลงคอ
สาเหตุมาจากเพื่อนคนจีนด้วยกันก็ไม่คบ แถมยังล้อเรื่องพ่อแม่ที่ป่วยของเขาอีก
เครียดมากเลยตัดสินใจกระโดดตึก ก่อนหน้านี้ก็มีโกนหัว กรีดข้อมือเท่านั้น
หลังจากที่ตายก็มีเรื่องความเฮี้ยนของเธอจากเพื่อนรูมเมทชาวจีนด้วยกันว่า
ได้ยินเสียงคนร้องไห้...แล้วก็ไม่มีใครอยากอยู่ห้องนั้นอีกเลย
หลังจากที่เค้าโดดหอมาก็มีพระจีนมาเชิญวิญญาณออกแต่ไม่ออก จนครั้งที่สองมาเชิญจึงออก
แต่ตามที่เค้าว่ากันไว้ฆ่าตัวตายเป็นบาปอันใหญ่หลวงวิญญาณของเธออาจวนเวียนอยู่ในที่นี้ต่อไปก็ได้...
ตำนานพี่บัว คณะศึกษาฯ
เรื่องเล่าตำนานรักของพี่หนุ่มและพี่บัว เล่าโดยศิษย์เก่า ม.บูรพา . . . ตลอด 4 ปีที่ได้เป็นนิสิตของ ม.บูรพา ในเทอมแรกของปีการศึกษา จะได้เห็นจักรยานเก่าๆ หนึ่งคันจอดอยู่ที่บริเวณริมสระน้ำระหว่างบัณฑิตวิทยาลัยและคณะศึกษาศาสตร์
(ตอนนี้ย้ายไปอยู่บริเวณหลังคณะศึกษาฯ) และมีพวงมาลัยมากมายคล้องอยู่ที่แฮนด์ของรถเสมอ
รุ่นพี่มักจะเล่าตำนานความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่งประจำคณะศึกษาศาสตร์ ซึ่งมีชื่อว่า พี่หนุ่ม และพี่บัว
ทั้ง 2 รักกันมาก ทุกๆ วัน พี่หนุ่มจะคอยขี่จักรยานไปรับไปส่งพี่บัวตลอดเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่บัวประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิต
พี่หนุ่มเสียใจมาก ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถ้าขาดพี่บัว เขาจึงตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในสระหน้าคณะศึกษาศาสตร์ตามพี่บัวไป รุ่นพี่ส่วนใหญ่ที่รู้ตำนานจะเล่าเรื่องนี้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นว่าถ้าใครต้องการให้ความรักของตนเองสมหวังต้องไปขอพรที่จักรยานเก่าๆ คันนั้น ทำให้มีนิสิตหลายคู่ไปไหว้ขอพรพี่หนุ่มและพี่บัวทุกปี และเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกนำมาเล่าต่อๆ กันทุกรุ่น
เรื่องสุดท้าย พีคสุด คงหนีไม่พ้น
ตึกสหเวชฯ
มีเรื่องเล่าว่าครั้งเคยมีนิสิตลืมของอยู่บนตึกตอนกลางคืน นิสิตคนหนึ่งเลยชวนเพื่อนมาเอาของด้วยกัน
เเต่พอมาถึงเพื่อนที่มาด้วยบอกว่าลืมของที่รถเดี๋ยวมา ให้ขึ้นไปก่อนเดี๋ยวตามไป
เพื่อนอีกคนเลยเดินไปหายามที่เฝ้าหน้าตึกเเละบอกกับยามว่าลืมของไว้ ยามเลยบอกว่าเดี๋ยวขึ้นไปเป็นเพื่อน
ระหว่างที่ขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน เพื่อนอีกคนก็มาพอดี ซึ่งกำลังจะเรียกเพื่อนเเต่เธอถึงกับพูดไม่ออก
เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนของเค้าคุยอยู่กับใครที่หน้าลิฟต์ นิสิตที่ขึ้นลิฟต์ไปกับยามก็คุยกันถึงเรื่อง อาจารย์ใหญ่ที่อยู่ในตึกสหเวช เเละก้อพูดถึงด้ายเเดงที่อยู่กับอาจารย์ใหญ่ ยามเลยบอกว่าด้ายเเดงที่ว่าเปนเเบบนี้รึป่าว เธอตกใจมากเเละก็กรี๊ดเสียงดังมากๆ เพื่อนของเธอที่รออยู่ข้างล่างก็ตกใจมากเช่นกัน เเละอยู่ๆ ลิฟต์ก็ลงมาชั้นหนึ่งพอลิฟต์เปิดเธอก็เห็นเพื่อนเธอนอนสลบอยู่ เเละก็มียามวิ่งมาดู เพื่อนเธอเลยเล่าให้ยามฟังว่าเห็นเพื่อนคนนี้คุยกับใครไม่รู้ที่หน้าลิฟต์ก่อนขึ้นไป ยามเลยบอกว่าสงสัยว่านิสิตคนนี้คงจะเจออาจารย์ใหญ่ ที่เป็นยามคนเก่าที่อุทิศตัวเพื่อนักศึกษาเเพทย์แล้วละ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
loading...
นิยม
บทความ
-
►
2017
(43)
- ► กุมภาพันธ์ (7)
-
▼
2016
(362)
- ► กุมภาพันธ์ (13)
-
►
2015
(77)
- ► กุมภาพันธ์ (6)
-
►
2014
(192)
- ► กุมภาพันธ์ (5)
-
►
2013
(57)
- ► กุมภาพันธ์ (5)
-
►
2012
(194)
- ► กุมภาพันธ์ (2)
-
►
2011
(272)
- ► กุมภาพันธ์ (43)
-
►
2010
(873)
- ► กุมภาพันธ์ (60)
loading...